"จิราพร" ชี้ถอนใบอนุญาต "ดิไอคอน" อาจไม่ทันสัปดาห์นี้ ยันไม่มีธงกลั่นแกล้งใคร เรียกสอบหมดไม่เว้น นักการเมือง ด้าน “ตำรวจ” จ่อออกหมายจับล็อต 2 “แม่ข่าย-ภรรยาบอสกันต์” ลุ้นเข้าข่ายหรือไม่ ส่วน“ผู้เสียหาย”คดีดิไอคอนทยอยแจ้งความกองปราบฯ ไม่หยุด ยอดรวม 6,951 ราย มูลค่าความเสียหาย 1,984 ล้านบาทเศษ “ทนายบอสพอล” ลงบันทึกประจำวัน หลังพนักงานบริษัทถูกยึดโทรศัพท์ และจนท.บุกคน 11 จุด
เมือวันที่ 23 ต.ค.67 น.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวถึงความคืบหน้าคดี ดิไอคอน กรุ๊ป จะเรียกความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้อย่างไร ว่า เข้าใจว่าปัญหานี้สะสมมาหลายปี แต่เพิ่งจะปะทุกันในช่วงนี้ทำให้พี่น้องประชาชนตั้งคำถามถึงการทำงานของสคบ. โดยขอแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่คือ ตั้งแต่มีการร้องเรียนมายังสคบ.ตั้งแต่ปี 61 ซึ่งทางสคบ.ก็ได้ตรวจย้อนกลับไปและไม่ได้นิ่งนอนใจ มีการส่งหนังสือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพราะสคบ.มีข้อจำกัดในทางกฎหมายของการตรวจสอบ ซึ่งปัจจุบันก็มีหน่วยงานที่ตอบกลับมาบางหน่วยงาน ถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่ง ที่จะดูแค่สคบ.ไม่ได้แล้ว ต้องมีวิธีการทำงานร่วมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งการบูรณาการแก้ปัญหา รวมถึงการป้องกันในระยะยาว และอีกมิติหนึ่งที่ต้องเรียกความเชื่อมั่นคืน คือเรื่องคลิปเสียงที่ปรากฏในภาพสื่อ
น.ส.จิราพร กล่าวว่า อย่างแรกที่อยากให้ประชาชนมั่นใจ ทางรัฐบาล ตน และ นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เอาจริงในการตรวจสอบเพื่อหาข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นที่มาของการตั้งคณะกรรมการคนนอก ไม่ใช่คนในสคบ. มาตรวจกันเอง แต่มีทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และมีสำนักงานอัยการ มาร่วมตรวจสอบ ซึ่งแต่ละคนเป็นผู้ค้ำวอร์ด เรื่องการสืบสวนสอบสวนข้อเท็จจริง และประธานคณะกรรมการก็เป็นผู้ที่มากประสบการณ์ในการทำคดีใหญ่หลายคดี เป็นคนตรงไปตรงมา เพราะฉะนั้นในส่วนนี้ตนคิดว่า ไม่มีอะไรที่ต้องลำบากใจ ไม่มีอะไรที่ต้องกังวลในเรื่องความมุ่งมั่น ถึงความตั้งใจที่อยากทำให้เรื่องนี้คลี่คลาย และหลังจากมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง
น.ส.จิราพร กล่าวว่า อีกประเด็นหนึ่งคือเรื่องการหาแนวทางป้องกันระยะยาว ซึ่งเราไม่ได้ดูเพียงข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่ได้หามาตรการวิธีการในเชิงนโยบาย แนะนำให้สคบ.ได้ไปดำเนินการต่อ ดังนั้นกฎหมายต่างๆที่สคบ.ถืออยู่ ที่ล้าหลังหรือล้าสมัยไม่ตอบโจทย์ คณะกรรมการนี้จะได้ช่วยแนะนำ และแก้ปัญหานี้ด้วย รวมถึงในการทำงานจะต้องมีการรื้อการทำงานครั้งใหญ่เพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้นเพื่อให้องค์กรโปร่งใสสามารถตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตามคนที่ตั้งใจทำงานเป็นข้าราชการน้ำดีก็มีแต่ส่วนไหนที่เป็นปัญหาเราต้องแก้ไขและให้ความเชื่อมั่นกับประชาชน
ผู้สื่อข่าวถามว่า คณะกรรมการที่จัดตั้งขึ้นได้มีการรายงานผลการตรวจสอบเบื้องต้นมาแล้วหรือไม่ น.ส.จิราพร กล่าวว่า ทั้งนี้คณะกรรมการชุดใหญ่ที่ตั้งขึ้นมา ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาอีกสองชุดซึ่งหนึ่งชุดจะดูการสอบสวนข้อเท็จจริงซึ่งจะนำพยานหลักฐานพยานวัตถุและพยานบุคคลมาเชื่อมโยงกันซึ่งการประชุมนัดแรกต้องหาข้อมูลองค์ประกอบแวดล้อมทั้งหมดเพื่อรายงานกับคณะกรรมการชุดใหญ่และจะได้กำหนดว่าจะต้องเชิญบุคคลหรือหน่วยงานไหนเข้ามาให้ข้อมูล ส่วนอนุกรรมการอีกคณะหนึ่งจะดูเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสคบ. ซึ่งเมื่ออนุกรรมการทำงานครบ1 สัปดาห์ก็จะมีการรายงานให้คณะกรรมการชุดใหญ่ได้รับทราบ
เมื่อถามถึงการพิจารณาถอนใบอนุญาตบริษัทดังกล่าว น.ส.จิราพร กล่าวว่า สั่งการสคบ. ให้ทำงานให้เร็วที่สุดซึ่งที่เคยให้ข้อมูลไปว่าอยู่ระหว่างการเชิญบริษัทมาให้ข้อมูล ทั้งตัวบอส ดารา แต่ในระหว่างการสอบสวนได้มีการจับกุม และขณะนี้กลายเป็นผู้ต้องหาไปแล้วฉะนั้นเป็นขั้นตอนที่สคบ. ต้องเข้าไปร่วมงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อสอบสวนข้อมูลนำมาประกอบการพิจารณาในการเพิกถอนใบอนุญาตต่อไป
เมื่อถามว่า สำหรับการพิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตคาดว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ และจะมีการประสานพูดคุยกับบอสที่อยู่ในคุกหรือไม่ ซึ่งทางทนายระบุว่าหากทางสคบ.เพิกถอน ระหว่างที่ยังไม่มีการให้ข้อมูลเพิ่มเติม จะทำการฟ้องกลับ ในมาตรา 157 กับทางเจ้าหน้าที่ น.ส.จิราพร กล่าวว่า เราจะทำทุกอย่างตามขั้นตอนของกฎหมายและประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทำเพื่อดูแนวทางว่าจะสามารถหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมมาประกอบอย่างไรได้บ้าง ส่วนจะสามารถเพิกถอนใบอนุญาตภายในสัปดาห์นี้ได้หรือไม่นั้น ก็อาจจะไม่ทัน เพราะทุกอย่างมีขั้นตอนตามกฎหมายที่เราต้องทำอย่างรอบคอบ ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้เราไม่ได้มีธงที่จะกลั่นแกล้งใครแต่เราต้องการที่จะทำตามข้อมูลข้อเท็จจริงตามหลักฐานเพื่อให้ได้รับความยุติธรรมกับทุกฝ่าย
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีนักการเมืองที่ถูกระบุในคลิปเสียงเรามีสิทธิ์ที่จะเรียกมาชี้แจงหรือไม่ น.ส.จิราพร กล่าวว่า คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบมีสิทธิ์เชิญมาชี้แจงได้ทั้งหมด เมื่อถามว่า นักการเมืองจะสามารถสั่งการสคบ. ได้หรือไม่ น.ส.จิราพร กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอดูข้อเท็จจริงเพราะคณะกรรมการชุดนี้มีการตั้งขึ้นมาเพื่อหาข้อเท็จจริงในส่วนนี้ให้เกิดความกระจ่าง ส่วนการดำเนินการล่าช้าเกินไปหรือไม่นั้น หลังจากที่มีคลิปเสียงปรากฏบนสื่อในวันที่ 10 ต.ค.หลังจากนั้นได้มีการตั้งคณะกรรมการคนนอกขึ้นมาในวันที่ 16 ต.ค. ดำเนินไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งการจัดตั้งคณะกรรมการคนนอกก็ต้องมีการหาตัวผู้ที่มีความเหมาะสม แล้วประสานงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ตนมองว่านี่ไม่ใช่ระยะเวลาที่ล่าช้าเกินไป เราก็เร่งทำอย่างดีที่สุดและรอบคอบ
ด้าน พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าชุดทำคดีบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป กล่าวถึงความคืบหน้าการเตรียมออกหมายจับผู้กระทำความผิด ล็อต 2 ว่า วันนี้ยังไม่มีการออกหมายจับ เพราะอยู่ระหว่างการพิจารณาพยานหลักฐาน และยังตอบไม่ได้ว่าจะออกหมายจับได้เร็ว ๆ นี้หรือไม่ พยานหลักฐานต่าง ๆ ยังต้องนำมาวิเคราะห์ให้แน่นหนา สำหรับแนวโน้มว่าจะเป็นกลุ่มไหนบ้างที่จะถูกออกหมายจับนั้น ก็ต้องมาดูพยานหลักฐานว่าไปถึงใคร แต่ขณะนี้ยังไม่ไปถึงกลุ่มดาราที่จะต้องถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม
ผู้สื่อข่าวถามว่า กลุ่มแม่ข่ายจะถูกดำเนินคดีด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวว่า ส่วนนี้อยู่ระหว่างการวิเคราะห์คำให้การของแม่ข่าย คงยังไม่ขอสรุปว่าจะถูกดำเนินคดีด้วยหรือไม่ เพราะต้องวิเคราะห์คำให้การทั้งหมดว่าเป็นผู้เสียหายที่แท้จริง หรือพยายามเปลี่ยนค่าตัวเอง ทั้งนี้ กลุ่มผู้ต้องหาที่จะออกหมายจับในล็อต 2 ก็น่าจะถูกดำเนินคดีในข้อหาที่ใกล้เคียงกันกับผู้ต้องหากลุ่มแรก เมื่อถามว่า ภรรยาของ นายกันต์ กันตถาวร พิธีกรดัง จะเข้าข่ายชักชวนด้วยหรือไม่ พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวว่า หากพยานหลักฐานไปถึงใคร ทุกคนก็จะถูกดำเนินคดีโดยไม่มีละเว้น
สำหรับกรณีข้อหาฟอกเงินที่ตำรวจเตรียมจะเข้าไปแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมกับ 18 ผู้ต้องหากลุ่มแรกนั้นพล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวว่า ขณะนี้ยังต้องมาดูพยานหลักฐานที่รวบรวมอยู่ว่ามีความพร้อมมากน้อยแค่ไหน ส่วนจะเป็นหลักฐานที่ชัดเจนแค่ไหนนั้น ก็ถือว่าเป็นความผิดมูลฐานที่ต่อเนื่องกันฐานฉ้อโกงประชาชนอยู่แล้ว
พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวถึงการตรวจสอบหาทรัพย์สินของกลุ่มผู้ต้องหา ว่า เจ้าหน้าที่ยังเดินหน้าตรวจสอบต่อเนื่อง และยังได้ประสานกับเจ้าหน้าที่ ปปง. ร่วมกันตรวจสอบว่ายังมีทรัพย์สินส่วนไหนที่จะต้องเข้าตรวจยึดก่อนที่จะถูกยักย้ายถ่ายเท ขณะนี้ทรัพย์สินทั้งหมดที่ถูกตรวจยึดมาได้แล้วมีมูลค่าหลายร้อยล้านบาทแล้ว
ส่วนกรณีที่ทนายความของบอสพอลจะพาพยานพนักงานดิไอคอนกรุ๊ป 10 คน ที่ถูกเชิญตัวมาสอบปากคำไปลงบันทึกประจำวัน เพราะมองว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบนั้น พล.ต.ท.อัคราเดช กล่าวว่า เรื่องนี้ตนยังไม่ทราบ
วันเดียวกัน ที่ บก.ปคบ. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้ายังคงมีผู้เสียหายคดีดิไอคอนทยอยเข้าแจ้งความอย่างต่อเนื่อง โดยยอดรวมผู้เสียหายที่เข้าให้ปากคำกับศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ในคดีดิไอคอนจากศูนย์รับแจ้งความร้องทุกข์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น 6,951 ราย มูลค่าความเสียหาย 1,984 ล้านบาทเศษ
ขณะที่ สน.พหลโยธิน นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความของนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล ได้เข้าไปลงบันทึกประจำวัน หลังตำรวจตรวจค้น 11 จุด เมื่อวานนี้ (22 ต.ค.67) และนำตัวพนักงาน บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลางนำตัวเข้ามาสอบปากคำ ซึ่งสอบปากคำตั้งแต่เวลา 12.00-20.00 น. เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบปากคำเกี่ยวกับรายได้ของพนักงานว่าเป็นรายได้ที่มาจากค่าคอมมิชชันหรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามที่จะถามย้ำในประเด็นเดิม ถึงแม้พนักงานจะปฏิเสธไปแล้วก็ตาม รวมถึงหลังจากที่ปล่อยตัวพยานทั้ง 10 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยึดโทรศัพท์ของพนักงานทุกคนไว้ ซึ่งตนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องยึดโทรศัพท์ไว้ โดยทีมทนายความจะรวบรวมพยานให้ได้มากที่สุด เพื่อเข้าไปที่ สน.พหลโยธิน ในการลงบันทึกประจำวันไว้ แต่จะยังไม่มีการแจ้งความให้ดำเนินคดี เนื่องจากอยากรอไปแจ้งความที่จเรตำรวจ ในข้อหามาตรา 157 ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายผู้ใดผู้หนึ่งหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต