"นายกฯ" ยืนยันไม่มีมวยล้ม "จนท.รัฐ" เอี่ยวคดี"ดิไอคอน" จัดการตามกฎหมาย จี้"ผบ.ตร." รายงานตลอด อย่าปกปิดประชาชน เล็งอายัดเงิน 1 ล้าน “บอสพอล”ถวายพระคนดัง ด้าน"รมว.ยุติธรรม" ให้หาตัวนักการเมือง "ส" พ่วงเทวดา ผู้อยู่เบื้องหลังคดีดิไอคอน สั่งราชทัณฑ์หาแนวทางแยกผู้ต้องหาออกจากนักโทษเด็ดขาด "บิ๊กต่าย"สั่งจนท.ปูพรมค้นอีก 11 จุด เผยอายัดทรัพย์กว่า 400 ล้านแล้ว เตรียมออกหมายจับล็อต 2 เร็วๆนี้ ขณะที่ “กันต์”นอนคุกยังปรับตัวไม่ได้ 

 ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 ต.ค.67 น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าการสอบสวนเจ้าหน้าที่รัฐรับสินบนกรณีดิไอคอน ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ได้ดำเนินการเรื่องนี้อยู่ ก็พยายามหาข้อมูลข้อเท็จจริงตามหลักฐานที่มี และได้กำชับไปแล้วว่าถ้าหากได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมก็ขอให้รายงานให้ประชาชนได้รับทราบ
 
น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า อีกอย่างหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ ก็ขอให้มีความชัดเจนว่าเป็นใคร ทางไหน อย่างไร เพราะประชาชนเองเรียกร้องเข้ามาจำนวนมากว่าเราอาจจะถูกกลบเกลื่อนไปหรือเปล่าซึ่งเท่าที่ได้พูดคุยกับทางผบ.ตร.ก็ยืนยันว่าจะไม่มีเรื่องนี้ ถ้าได้หลักฐานอะไรมาก็จะว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมายอย่างแน่นอน

 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมภายหลังผู้ต้องหาในคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ถูกปฏิบัติเหมือนนักโทษ ว่า เราต้องยอมรับขีดจำกัด เพราะเรือนจำมี 143 แห่ง บรรจุผู้ต้องขังได้ 200,000 คน แต่ปัจจุบันมีเกือบ 300,000 คน เราก็ปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบ ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดยังไม่ได้เข้าไปอยู่ในเรือนจำ เป็นการเฝ้าดูอาการตามระเบียบ หลังจากนั้นทัณฑสถานหญิงกลาง และเรือนจําพิเศษกรุงเทพ ทั้งสองเรือนจำ ก็จะมีที่คุมขังระหว่าง เช่น คดีดิไอคอนก็จะไม่มีการตัดผมผู้ต้องหา สามารถพบทนายความและญาติ เพื่อเตรียมต่อสู้คดี ขอย้ำว่าเป็นการปฏิบัติเหมือนกันทุกคน ทั้งนี้ได้ให้นโยบายไปว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ผู้ต้องขังระหว่างที่มีประมาณ 70,000 คน อยู่รวมกับผู้ต้องขังเด็ดขาด ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์กำลังดำเนินการอยู่
 
เมื่อถามถึงกรณีนักการเมือง “ส” ที่มีการพูดคุยกับบุคคลที่ถูกเรียกว่าเป็นเทวดา และเผยแพร่คลิปจะมีการดำเนินการและเอาผิดได้อย่างไร พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า คดีดิไอคอนเป็นของตำรวจที่กำลังดำเนินการอยู่ และสามารถทำได้ดี คดีในลักษณะนี้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอาญา เราจะดำเนินการให้ไร้รอยต่อในเรื่องของการฟอกเงิน ซึ่งสุดท้ายปลายทางเราเป็นห่วงผู้เสียหาย หากสามารถติดตามทรัพย์สิน กลับคืนมาได้มากเท่าไหร่ จะทำให้พวกเสียหายได้รับการเยียวยา ส่วนประเด็นระหว่างทางจะมีการฟ้องดำเนินคดี การให้ข้อมูลยิ่งเปิดเผยยิ่งเป็นข้อดี เพราะกระทรวงยุติธรรม หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เรากำลังพัฒนาให้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญให้ได้ ซึ่งต้องมีความสามารถในการค้นหาความจริง โดยเฉพาะผู้บงการ ผู้ใช้ ผู้จ้าง ผู้วาน หรือผู้ได้รับผลประโยชน์ เราไม่ควรปล่อยปละละเลย พวกนี้จะต้องดำเนินการภายใต้กฎหมาย
 
ที่อาคารประชาอารักษ์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผบ.ตร. , พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์ รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก.,พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ปคบ. และ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. ร่วมเเถลงความคืบหน้าหลังเข้าประชุมติดตามความคืบหน้าคดีดิไอคอนกรุ๊ป

 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เปิดเผยว่า โดยในวันนี้มีการไปตรวจค้นทั้งหมด 11 จุด ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องในฐานะพนักงานและคนใกล้ชิดกับผู้ต้องหาทั้ง 18 คน โดยตอนนี้อยู่ระหว่างการปฏิบัติการตรวจค้นและยังไม่ได้รายงานผลเข้ามา สำหรับการเข้าแจ้งความตลอดช่วงเช้าวันนี้พบยังคงมีผู้เสียหาย เดินทางมาเพื่อรับบัตรคิวเข้าแจ้งความที่ศูนย์รับแจ้งความ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางแล้ว ประมาณ 50 คิว และสำหรับยอดรวมผู้เสียหายทั่วประเทศ ที่เข้าแจ้งความที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และสถานีตำรวจท้องที่ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 10 - 21 ต.ค.2567 พบมีประชาชนเดินทางมาแจ้งทั้งสิ้น 6,979 คน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 2,046 ล้านบาท
 
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ผู้ต้องหาทั้ง 18 คน อยู่ในการควบคุมที่เรือนจำพิเศษ ส่วนการขยายผลอยู่ระหว่างการสอบสวนทั้งเรื่องเส้นทางการเงิน การวิเคราะห์บัญชีการเงิน โดยในวันนี้มีการไปตรวจค้นทั้งหมด 11 จุด ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเกี่ยวข้องในฐานะพนักงานและคนใกล้ชิดกับผู้ต้องหาทั้ง 18 คน โดยตอนนี้อยู่ระหว่าฝการปฏิบัติการตรวจค้นและยังไม่ได้รายงานผลเข้ามา เนื่องจากต้องการที่จะปิดข้อมูลหรือหลักฐานต่างๆที่อาจจะเป็นประโยชน์ต่อคดี
 
สำหรับหมายจับล็อตที่ 2 อยู่ระหว่างการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐาน และจะเกี่ยวข้องกับ 11 จุด ที่ไปตรวจหรือไม่ก็อยู่ที่พยานหลักฐาน หากพบหลักฐานชัดเจนจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ยืนยันว่าถ้าผลการสอบสวนและหลักฐานพาดพิงไปถึงใครระดับใดก็ตามก็ต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด

ผู้สื่อข่าวถามว่า สำหรับเงินที่บอสพอลโอนเข้าบัญชีพระผู้ใหญ่จำนวนเงิน 1 ล้านบาท จะต้องทำการอายัดมาตรวจสอบด้วยหรือไม่นั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ก็ต้องดูว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่ จะต้องตรวจสอบและใช้ดุลพินิจและวิจารณญาณที่ละเอียดรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง แต่หากเงินดังกล่าวเป็นเงินต้องสงสัยก็สามารถอายัดได้ เป็นไปตามกระบวนการสอบสวนและยึดอายัดทรัพย์อยู่แล้ว เบื้องต้นในส่วนของตำรวจมีการยึดทั้งอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์และทรัพย์สินอื่นๆ ของผู้ต้องหาทั้งหมดในขณะนี้กว่า 400 ล้านบาท
 
ผู้สื่อข่าวถามว่า ภรรยาของ นายกันต์ กันตถาวร มีรายชื่ออยู่ในหมายจับล็อตที่สองด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่พบในรายชื่อ และยังไม่พบว่ามีการเดินทางออกนอกประเทศ เมื่อถามว่า จะมีการแจ้งข้อกล่าวหาอะไรเพิ่มเติมกับผู้ต้องหาทั้ง 18 คน หรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า อยู่ระหว่างการสอบสวน หากพบความผิดอื่นเพิ่มก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อไป
 
ด้าน พล.ต.ท.จิรภพ กล่าวว่า สำหรับเรื่องข้อมูลเลขบัตรประชาชนของบอสพอลที่มีขึ้นต้นด้วยเลข 5 นั้น เบื้องต้นได้มีการตรวจสอบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ พบว่าเป็นการแจ้งตกหล่นในการสำรวจ และมีการเพิ่มชื่อทีหลัง แต่ยืนยันว่าเป็นคนไทยยังไม่พบว่าเป็นต่างด้าว อย่างไรก็ตามก็จะต้องมีการสืบสวนเพิ่มเติม

 ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่านักร้องเรียนหญิงมีความสนิทสนมกับตำรวจที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่นั้น หากพบว่าเป็นตำรวจหรือไม่ว่าใครสังกัดใดก็ตาม หากพบว่ามีส่วนร่วมในการกระทำความผิดจะดำเนินคดีไม่มีละเว้น ทั้งนี้ไม่มีความกังวลและไม่มีความหนักใจ เบื้องต้นในส่วนของตำรวจมีการยึดทั้งอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์และทรัพย์สินอื่นๆของผู้ต้องหาทั้งหมดในขณะนี้กว่า 400 ล้านบาทแล้ว

เมื่อถามถึงข้อมูลว่ามีการโอนเงิน USDT มูลค่ากว่า 8 พันล้านบาท เพื่อซื้อคริปโท ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้ตรวจสอบโดย บก.ปปป. ขอแจ้งว่าผู้จัดรายการต่างๆ หวังดีต่อสังคมไทย แต่อะไรก็ตามต้องตรวจสอบก่อนว่าเท็จจริงแค่ไหน ไม่เช่นนั้นสังคมจะไขว้เขว ประชาชนจะสงสัยว่าเป็นอย่างนั้นเลยเหรอ ทำไมตำรวจปล่อยให้ถ่ายโอนทรัพย์สิน ข้อมูลคือถ้าใครพูดไม่จริง เอาข้อมูลเผยแพร่ ต้องการเวทีสื่อสาธารณะต้องรับผิดชอบในข้อมูลอันเป็นเท็จที่เผยแพร่สื่อมวลชนด้วย

 "เราสอบผู้ให้ข้อมูลแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบต่อการให้ข้อมูลสื่อสาธารณะ ถ้าเป็นเท็จก็ต้องถูกดำเนินคดี เลยอยากฝากผู้จัดรายการ หรือผู้หวังดีต่อสังคม อินฟลูเอนเซอร์ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อนที่จะแสดงหรือเผยแพร่ต่อสาธารณชน ทำให้ไขว้เขวว่าปล่อยปละละเลย ให้ถ่ายโอนทรัพย์สินในโลกคริปโท ตรวจสอบแล้ว ให้เจ้าหน้าที่เดินหน้าปรากฎข้อเท็จจริงเร็วๆนี้ ถ้าเอาขัอมูลเท็จ ต้องการเวทีต่อสาธารณชน ต้องถูกดำเนินคดี เราสอบปากคำแล้ว ข้อเท็จจริงจะปรากฎเร็วๆนี้ เชื่อว่าเร็วๆนี้จะให้ข้อเท็จจริงกับสื่อด้วย อะไรจริงจะบอก อะไรเท็จก็จะบอกด้วย ไม่มีอะไรปกปิด"

นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ และรักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง เปิดเผยถึงสภาพจิตใจของ นายกันต์ กันตถาวร หรือบอสกันต์ พิธีกรชื่อดัง ผู้ต้องขังคดีดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า สภาพจิตใจของกันต์ยังคงปกติ ไม่มีอาการแย่ลง และไม่จำเป็นต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตาม นายกันต์ยังต้องปรับตัวกับการใช้ชีวิตในเรือนจำ โดยมีการขอพบแพทย์และขอใบสั่งยาน้ำตาเทียมเนื่องจากอาการตาแห้ง แต่ไม่ได้มีการเรียกร้องอะไรเพิ่มเติม ส่วนผู้ต้องขังคนอื่นๆ ในกลุ่มดิไอคอน ก็ไม่มีการร้องขอเพิ่มเติมใดๆ เช่นกัน โดยในวันนี้มีการให้พบทนายและมีญาติซื้อของให้ตามปกติ

สำหรับการเข้าเยี่ยม ครอบครัวและญาติของกลุ่มบอสฝ่ายหญิงจะเริ่มได้ในวันที่ 22 ต.ค. ส่วนกลุ่มบอสชายจะเข้าเยี่ยมได้ในวันที่ 24 ต.ค. เนื่องจากวันที่ 23 ต.ค.เป็นวันหยุด