จากกรณีมีพระสงฆ์วัดเสกขาราม พบชาวโรฮิงญาจำนวน 26 คน ถูกแก๊งค้าแรงงานมนุษย์ ลักลอบขนมากับรถกระบะตู้ทึบ ระหว่างทางขาดอากาศหายใจมีอาการอ่อนเพลีย ชักดิ้นชักงอ ทุรนทุรายใกล้ตาย คนขับได้นำชาวโรงฮิงยาทั้งหมดเข้าไปทิ้งนอนรอความตายในป่าละเมาข้างเชิงเขาวัดเสกขาราม ริมถนนสายแหลมทราย หมู่ 4 ตำบลวังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ห่างจากถนนเพชรเกษมประมาณ 2 กิโลเมตร เมื่อเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบพบชาวโรงฮิงญาตายเพราะขาดอากาศหายใจในที่เกิดเหตุ 2 ศพ และเสียชีตที่โรงพยาบาล 1 ศพ รวมเป็น 3 ศพ และมีอาการโคม่าอีก 7 คน ส่วนอีก 16 คน มีอาการปลอดภัย เหตุเกิดเมื่อตอนสายของวันที่ 17 ต.ค.67 ตามข่าวที่เสนอนั้น

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบรวมพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิด ขออนุมัติหมายจับจากศาลจังหัดหลังสวน จำนวน 3 ราย จนสามารถติดตามจับกุมแก๊งขนแรงงานต่างด้าวชาวโรฮิงญา ได้จำนวน 2 คน คือ นายพิทักษ์ อายุ 30 ปี ชาว จ.ราชบุรี คนขับรถขนชาวโรฮิงญา และ นายเสกสรร อายุ 21 ปี ชาว จ.สมุทรปราการ คนขับรถนำทาง พร้อมรถยนต์กระบะตู้ทึบ 2 คัน เป็นรถยนต์กระบะตู้ทึบ อีซูซุ สีน้ำเงิน ทะเบียน สมุทรสงคราม ซึ่งเป็นรถบรรทุกชาวโรฮิงญา และรถยนต์กระบะตู้ทึบ อีซูซุ สีเทา ทะเบียนหนองคาย เป็นรถคันนำทาง ส่วนผู้ต้องหาตรามหมายจับอีก 1 คน  โดยจับกุมได้ที่บนถนนเพขรเกษม กม.ที่ 186 ขาขึ้น พื้นที่ตำบลเขาใหญ่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี  ได้เมื่อเวลา 00.20 น.วันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา พร้อมกับควบคุมตัวทั้งสองคนและรถยนต์ของกลางดำเนินคดีในท้องที่เกิดเหตุ

ต่อมาเมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 18 ต.ค.67 ที่สถานีตำรวจภูธรหลังสวน พล.ต.ต.วรา เวชชาภินันท์ รอง ผบช.ภ.8 พ.ต.อ.ธงชัย นุ้ยเจริญ รอง ผบก.ภ.จว.ชุมพร พ.ต.อ.นิรันทร์ กันจู รอง ผบก.ภ.จว.ชุมพร พ.ต.อ.ฉลาด พลนาการ ผกก.สภ.หลังสวน พร้อมด้วยชุดสายสืบท้องที่ ชุดสืบสวน ภ.จว.ชุมพร และภาค 8 ได้ร่วมกันสอบปากผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เพื่อขยายผลขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติ และสอบปากคำชาวโรฮิงญาที่ได้รับการช่วยเหลือจนปลอดภัยจำนวน 16 คน เพิ่มเติม ส่วนชาวโรฮิงญาที่ยังรักษาตัวอยูที่โรงพยาบาลจำนวน 7 คน ยังมีอาการโคม่า 1 คน อีก 6 คนอาการดีขึ้นและพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ทราบว่าแก๊งค้าแรงงานมนุษย์ข้ามชาติมีการทำกันเป็นขบวนการใหญ่ เริ่มตั้งแต่นำพาชาวต่างด้าวทั้งหมดมาจากรัฐยะไข่ เดินทางไปยังเมืองย่างกุ้ง และเมืองละเมง แล้วเดินทางต่อไปอาศัยอยู่ที่โกดังแห่งหนึ่งที่เมืองเมียวดี ประเทศเมียนมา จากนั้นจะมีทหารจากกองกำลังพิทักษ์ชายแดนของชนกลุ่มน้อย ที่ขึ้นตรงกับทหารเมียนมา นำขึ้นรถยนต์ทหารไปส่งใกล้ชายแดนด้านอำเภอแม่สอด จ.ตาก โดยเดินทางจากจุดเริ่มต้นมายังปลายทางที่ชายแดนแม่สอด เป็นเวลานานเกือบ 1 เดือน ซึ่งยังมีชาวต่างด้าวรอลักลอบข้ามฝั่งมายังประเทศไทยอีกมากกว่า 300 คน สำหรับชาวต่างด้าวทั้งหมดจะเสียค่าใช้จ่ายหัวละ 10 ล้านจ๊าต แบ่งจ่ายเป็น 2 ก้อน โดยก่อนแรกจ่าย 5 ล้านจ๊าด เมื่อส่งชาวเมียนมาถึงชายแดนไทย-มาเลเซีย ชายแดนใต้ ญาติจะจ่ายให้อีก 5 ล้านจ๊าด รวมเป็นเงินไทยทั้งหมดประมาณ 150,000 บาท

ต่อมาทางนายฮุเซ้ง ฮัมหมัด อายุ 28 ปี ล่ามชาวเมียนมา เปิดเผยว่า จากการสอบถามทุกคนอ้างว่า เป็นชาวมุสลิมโรฮิงญาอาศัยอยู่ที่รัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา พร้อมบอกว่าในประเทศเกิดการสู้รบกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเขาต้องการดิ้นรนหาที่อยู่ใหม่เพื่อจะได้ประกอบอาชีพ ซึ่งชาวโรฮิงญา ทั้งหมดจะมีญาติทำงานอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย และเพื่อต้องการมีชีวิตที่ดีกว่า ญาติทางฝั่งประแทศมาเลเซีย จึงได้ติดต่อโดยผ่านนายหน้าชาวโรฮิงญาที่อยู่ในประเทศมาเลเซีย ประสานกับนายหน้าที่ประเทศเมียนม่า เพื่อช่วยดำเนินการเป็นธุระในการลักลอบขนแรงงานจากฝั่งประเทศเมียนมา เพื่อไปยังประเทศมาเลเซีย

นายฮูเซ็ง กล่าวว่า หลังจากที่ทางญาติที่ประเทศมาเลเซีย ได้จัดการเป็นธุระให้เรียบร้อย ทุกคนก็มารวมตัวกัน ณ จุดนัดหมายแห่งหนึ่งที่ รัฐยะไข่ ก่อนจะเริ่มเดินทาง โดยเดินทาง 3 วัน ด้วยเรือหางยาว มาขึ้นฝั่งเมืองย่างกุ้ง แล้วนั่งรถยนต์ 2 คันเพื่อเดินทางต่อมายังเมืองละเมง หลังจากนั้น ก็จะมีรถบรรทุกขนาดใหญ่ของหน่วยทหารพม่า บีจีเอฟ มารับช่วงต่อ เพื่อนำส่งจากเมืองละเมง มาโกดังแห่งหนึ่งที่เมืองเมียวดีแนวชายแดน ฝั่งตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก โดยทุกคนบอกว่า มีที่จะเดินทางหลบหนีไปยังประเทศมาเลเซีย โดยผ่านประเทสไทยนั้น จะต้องจ่ายค่าหัวให้กับนายหน้าครั้งแรก รายละ 5 ล้านจาส หรือ ประมาณ 7 หมื่นกว่าบาทไทย และเมื่อถึงปลายทางก็จะต้องจ่ายอีก  5 ล้านจาส หรือ ประมาณ 7 หมื่นกว่าบาทไทย และยังมีชาวโรฮิงญา ที่รอเดินทางผ่านประเทสไทยเพื่อไปประเทศมาเลเซียอยู่ที่โกดังฝั่งเมียวดี อยู่อีกกว่า 300 คน

นายฮูเซ้ง กล่าวอีกว่า จากการเดินทางเข้ามาฝั่งประเทศไทย จะใช้วิธีนั่งเรือหางยาว โดยใช้เวลาประมาณ 5 นาที แล้วเดินเท้าลัดเลาะตามเส้นทางธรรมชาติ ต่อจากนั้นก็ได้ขึ้นรถกระบะตู้ทึบจนเต็มคัน จำนวน 26 คน โดยมีรถกระบะลักษณะเดียวกัน ขับนำหน้ามา ใช้เวลา 4-5 ชม.แล้วก็มาเปลี่ยนรถแต่ใช้วิธีเดียวกัน จากนั้นก็เดินทางต่อ ใช้เวลา 4-6 ชม.จากนั้นก็เปลี่ยนอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่สามก็เป็นรถกระบะที่ตำรวจตามยึดมาได้ โดยระหว่างที่เดินทางมา ชาวโรฮิงญา เกิดอาการอ่อนล้าและเริ่มออกอาการไม่ค่อยดี เพราะเริ่มหายใจไม่ออก จึงได้ทุบตีตู้ จนทำให้คนขับต้องจอดรถ แล้วแบ่งรถให้ไปขี้นรถอีกคัน 10 คน แล้วเดินทางต่อไปอีกไม่นาน ก็จอดแล้วให้กลับมาขึ้นรถคันเดิม แต่ไม่นาน มี 2 รายเกิดทรุดตัวเป็นลมและเสียชีวิตลง ทุกคนจึงทุบเตะประตูด้านหลังจนเกือบเปิดออก คนขับเห็นไม่ดีจึงได้ขับมาถนนสายหมู่บ้านที่เกิดเหตุแล้วเปิดประตูออกก็พบทุกคนเริ่มหมดแรงฟุบกองกันเต็มกระบะ  คนขับจึงให้คนที่ยังมีแรงอยู่ ช่วยกันลากลงกันมา จนหมดทุกคน  ก่อนจะขับรถหลบหนีไป เหลือไว้เพียงน้ำดื่มและขนมขบเคี้ยวไม่กี่ถุง 

สำหรับมุสลิมโรฮีนจา จำนวน 26 คน ที่พบในพื้นที่ ม.4 ต.วังตะกอ อ.หลังสวน จ.ชุมพร มี 3 จุดดังนี้

- จุดที่ใกล้วัดเขาเสกขาราม จำนวน 14 คน (ชาย 12 หญิง 2) ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 3 คน (ที่เกิดเหตุ 2 ที่ รพ. 1) มีผู้บาดเจ็บจากการเดินทางถูกส่งรักษาตัวที่ รพ.หลังสวน 3 คน รพ.ปากน้ำหลังสวน 2 คน และ รพ.ทุ่งตะโก 2 คน 

- จุดที่ 2 ป่าละเมาะบริเวณหนองปลา จำนวน 6 คน (ชาย 4 หญิง 2)

- จุดที่ 3 ป่าละเมาะหลังโรงแรมจันทร์สว่าง จำนวน 6 คน (ชาย 5 หญิง 1) 

ส่วนผู้นำพา เมื่อ 18 ต.ค.67 เวลาประมาณ 00.15 น. ตำรวจภูธรภาค 7 ร่วมกับ ตำรวจทางหลวง ส.ทล.2 กก.2 บก.ทล ชุดจับกุม สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ 2 ราย พร้อมของกลางได้ที่หน่วยบริการประชาชนตำรวจทางหลวง (ทล.4) บนถนนเพชรเกษม กม.186 ขาเข้า กทม. พื้นที่ ต.เขาใหญ่ อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี นำส่งตัวให้สถานีตำรวจภูธรชะอำ ดำเนินคดีรายละเอียดดังนี้ ผู้ต้องหารายที่ 1 นายพิทักษ์ ผู้ต้องหารายที่ 2 นายเสกสรร พร้อมของกลางรถยนต์กระบะ 2 คัน ยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็ก สีเทา สมุทรสงคราม ยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็ก สีบรอนเงิน ทะเบียนหนองคาย