จากกรณีที่ “พระเมธีวชิโรดม” หรือ “ว.วชิรเมธี” พระนักเทศน์ชื่อดัง โพสต์จดหมายชี้แจงเกี่ยวกับคลิปวิดีโอเทศนาในกิจนิมนต์ของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป โดยในแถลงการณ์มีบางช่วงบางตอนพาดพิงถึง “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” พิธีกรรายการโหนกระแส ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 ต.ค.67 "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" พูดถึงประเด็นดังกล่าวในรายการเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ว่า ตนรับทราบและเห็นทั้งหมด เป็นสิทธิที่พระคุณเจ้าจะพิพม์ หรือแจ้งอะไร รับทราบสิ่งที่ตำหนิ ติเตียน ต่อว่าต่อขานมา
อันดับแรก กราบเรียนพระอาจารย์ว่า ตนยืนยันว่าไม่ได้เป็นศาลเตี้ย เพราะไม่ได้มีกฎหมายในมือ ไม่ได้เป็นตำรวจ ผมเป็นแค่กระบอกเสียงที่อยากจะช่วยเหลือคนตัวเล็กๆ ที่ถูกคนตัวใหญ่รังแก หรือคนยากจนที่ถูกชักจูงไปในทางที่ไม่ถูกไม่ควร ผมแค่อยากเป็นกระบอกเสียงให้พวกเขา
อันดับสอง ผมเองตกใจมาก และผิดหวังที่เห็นพระอาจารย์พิมพ์มาแบบนี้ ผมอยู่กับพระอาจารย์อาจจะไม่ได้นาน แต่สิ่งที่พระอาจารย์สอนผมให้มีสติ ให้ผมไม่มีโมหะ โทสะ โลภะ ให้ผมนั่งสมาธิ แต่ผมเห็นพระอาจารย์โพสต์อันนี้ ไม่ทราบว่าพระอาจารย์โพสต์ หรือแอดมิน หรือออกมาจากใจพระอาจารย์จริงๆ หรือเปล่า ผมเสียใจที่เห็นแบบนี้
สุดท้าย ผมกราบขอขมา แต่อยากให้พระอาจารย์รับฟัง ถ้าเป็นพระอาจารย์โพสต์แบบนี้ บอกว่าผมเป็นศาลเตี้ย เป็นฆาตกรต่อเนื่อง กระทั่งคำสำคัญที่สุดที่ผมเสียใจ คือการที่ผมเอาคนที่ไม่ผิดเข้าคุก เรื่องราวทั้งหมดที่พระอาจารย์พิมพ์มาอยากจะบอกว่า "เข้าข้อหาหมิ่นประมาทนะครับ" ผมเชื่อว่าพระอาจารย์คงทราบ กฎหมายไทยไม่ได้บัญญัติเอาไว้ว่าไม่ให้ฟ้องพระ ผมเรียนพระอาจารย์ว่า ในเมื่อเคยเป็นอาจารย์ของผมมาก่อน ครั้งนี้ทั้งหมดผมใส่บาตรให้พระอาจารย์ ผมไม่ฟ้อง
หนุ่ม กรรชัย กล่าวอีกว่า สุดท้ายที่บอกว่าพระอาจารย์มีลูกศิษย์ที่รักและไม่พอใจในสิ่งที่ผมพูด ทำให้พระอาจารย์เสียหาย ซึ่งผมมองว่ายังมีคนที่ผมต่อสู้เพื่อเขาอีกมากมาย ซึ่งเขาก็รักผมไม่แพ้ลูกศิษย์พระอาจารย์
"รู้สึกผิดหวังทั้งหมด สิ่งที่กังวลใจที่สุดน่าจะเป็นคำที่บอกว่า พี่เอาคนไม่ผิดเข้าคุก รู้สึกไม่ดี เพราะคำพูดคำนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดเป็นวงกว้างได้ เราเป็นแค่สื่อ เป็นแค่กระบอกเสียง ส่วนเรื่องกฎหมายเป็นเรื่องของตำรวจและศาล และทุกสื่อก็นำเสนอกันหมด เพราะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชน แต่เมื่อไปบอกว่าผม หรือสื่ออื่นๆ เอาคนไม่ผิดเข้าคุก ไม่ได้ เพราะสร้างความเสื่อมเสียให้ผมและสื่อด้วย และที่สำคัญทำให้ญาติๆ ของคนที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำเกิดคำถามว่าเป็นเพราะสื่อหรือเปล่า"