หมายเหตุ : “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” โฆษกพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์พิเศษรายการ “สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” ออกอากาศทางช่องยูทูบ Siamrathonline เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 ในฐานะที่สามารถถูกมองว่าเป็น “องครักษ์พิทักษ์ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มองสถานการณ์ของรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” เดินมาสู่จุดที่ต้องลุ้นในเรื่องคำร้องต่างๆ จะสัมพันธ์กับ “อายุรัฐบาล” ด้วยหรือไม่
- นายกฯแพทองธาร เพิ่งบริหารประเทศมาได้เพียง 1 เดือนเท่านั้น แต่มีคำร้องต่างๆมากมาย ดังนั้นจุดนี้จะกลายเป็นความเสี่ยง เป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่หรือไม่ กรณีที่ ธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ให้พิจารณาคดีเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยและการที่อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร เข้ามาครอบงำและเข้าข่ายล้มล้างการปกครองฯ
การที่คุณธีรยุทธ สุวรรณเกษร ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 49 ประเด็นเรื่องนี้ คุณธีรยุทธเคยไปยื่นกับหน่วยงานอื่นแล้ว ซึ่งเมื่อไม่ได้มีการพิจารณาตามกรอบเวลาก็เป็นสิทธิที่จะให้คุณธีรยุทธ นั้นสามารถยื่นเรื่องส่งตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ประเด็นที่คุณธีรยุทธที่ไปยื่นศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 67 ที่ผ่านมาคือ ประเด็นที่คุณธีรยุทธเห็นว่า คุณทักษิณ และพรรคเพื่อไทยนั้น น่าจะเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งคุณธีรยุทธเองก็เคยยื่นยุบพรรคก้าวไกลมาแล้ว
ถามว่าประสบการณ์ในเรื่องของการมองกฎหมาย คุณธีรยุทธก็ถือว่าเป็นคนที่มองกฎหมายค่อนข้างได้ครบถ้วน คราวนี้ประเด็นข้อเท็จจริงที่คิดว่า การที่คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บริหารเรื่องการเมือง 1 เดือน ก็มีมรสุมขนาดใหญ่ ผมไม่ใช้คำว่ามรสุมขนาดใหญ่ ผมคิดว่าเป็นภัยพิบัติทุกมิติ หมายความว่าอะไรแม้แต่ฝนตกน้ำท่วมในพื้นที่ที่ไม่เคยท่วมก็ท่วมยกตัวอย่างเชียงราย บางคนเขาบอก 30 ปีไม่เคยท่วมหรืออยู่มาทั้งชีวิตก็ไม่เคยท่วม ไม่เคยเจอน้ำท่วมแบบนี้ก็เจอมาแล้ว
ต่อมาถนนทรุดที่สะพานเกษะโกมล ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้มันคล้ายๆกับสมัยคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วล่าสุดก็เป็นเรื่องของรถบัสโดยสารที่สุดท้ายมีการสูญเสียมากมาย เรื่องแบบนี้ถ้ามองว่าเป็นอุบัติเหตุก็ได้ หรือจะมองเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้ หรือจะมองแบบมีนัยสำคัญก็ได้ทั้งสิ้น ฉะนั้นผมกำลังจะบอกว่าวันนี้คุณแพทองธาร โดนมรสุมทุกด้าน
ส่วนด้านการเมือง นายกฯเองก็โดนตรวจสอบอย่างเข้มข้น โดยภาคประชาชน ผมใช้คำว่าภาคประชาชนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพรรคพลังประชารัฐ เพราะพรรคพลังประชารัฐยังไม่ได้ยื่นญัตติไม่ไว้วางใจ ยังไม่ได้ยื่นญัตติถอดถอนนายกฯแพทองธาร อันนี้เป็นเพียงภาคประชาชนก็คือชาวบ้านที่เขารู้สึกว่าการกระทำของคุณแพทองธาร นั้นน่าจะขัดรัฐธรรมนูญ คุณสมบัติคุณแพทองธาร น่าจะขาดความเป็นนายกรัฐมนตรี
สิ่งสำคัญที่สุด ที่ชาวบ้านต้องไปยื่นเองเพราะอะไร ก็เพราะพรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลในอดีตนั้นไม่ได้ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ คำว่าไม่ได้ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญหมายความว่า ในรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ระบุไว้เรื่องของ สส.สามารถ ตรวจคุณสมบัติกันเองได้พูดง่ายๆ สส.เข้าชื่อ 1 ใน 10 สามารถตรวจคุณสมบัติการเป็นสส.ของแต่ละคน สว.เข้าชื่อ 1 ใน 10 สามารถตรวจคุณสมบัติการเป็น ส.ว.ของแต่ละคน
ตามรัฐธรรมนูญ ระบุว่านายกรัฐมนตรี สามารถให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัติได้ เพราะการกระทำใดของรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี เป็นการขาดคุณสมบัติมาตรา 160 (4) คือซื่อสัตย์สุจริตจนเป็นที่ประจักษ์ ก็สามารถส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่จะต้องใช้เสียง 1 ใน 10 ของสมาชิกที่สภาฯมีอยู่
หมายความว่าถ้าวันนี้สส.อยากจะตรวจสอบคุณสมบัติของ คุณแพทองธาร จะต้องเข้าชื่ออย่างน้อย 50 คน วันนี้พรรคพลังประชารัฐโดยพฤตินัยมีสส. 20 คน ถึงแม้ในนิตินัย จะมี 40 สส. ก็จริง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าชื่อตรวจสอบคุณสมบัติ คุณแพทองธาร ส่งศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งก็ย้อนกลับมาที่ว่าพรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลในอดีตนั้นทำไมถึงไม่ดำเนินการตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญทำไมถึงไม่ดำเนินการตามกฎหมายก็กลายเป็นที่มาว่าคุณธีรยุทธ ถึงต้องใช้สิทธิในฐานะประชาชนคนไทยที่เสียภาษี
- มีประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า หากเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐ แต่เหตุใด นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ จึงเป็นคนที่ออกมาให้ข่าวเรื่องวันที่ 10 ตุลาคม 67 คือจุดเริ่มของการล่มสลายของพรรคเพื่อไทย
คุณไพบูลย์ คงจะพูดในฐานะที่ท่านเคยพูดคุยกับคุณธีรยุทธ เป็นการส่วนตัว และก็อาจจะเตือนไปยังพรรคเพื่อไทยว่า การกระทำอะไรที่มันจะสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เดือดร้อนอย่าทำ คือผมมองว่าการที่คุณไพบูลย์ในฐานะเลขาธิการพรรค อาจจะพูดเตือนด้วยความหวังดีในฐานะนักการเมืองด้วยกัน ก็เพียงเท่านั้น เพราะวันนี้คุณธีรยุทธก็ออกมาบอกแล้วครับว่าไม่เคยเจอพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค แล้วก็ไม่เคยคุยกับพล.อ.ประวิตร เป็นการส่วนตัวเลย
ฉะนั้นเรื่องอย่างนี้มันชัดเจนอยู่แล้ว ถึงบอกว่าวันนี้สิ่งสำคัญที่สุด คือประชาชนคนไทยทั้งประเทศคาดหวังสภาผู้แทนราษฎรในการที่จะเป็นที่พึ่งให้กับพ่อแม่พี่น้องประชาชน ก็คือเรื่องของการตรวจสอบคุณสมบัติ ถ้าวันนี้ตรวจสอบคุณสมบัติคุณแพทองธาร แล้ว ไม่ผิดก็จะหมดสิ้นคำครหา แต่สุดท้ายถ้าผมถามกลับกันว่า ถ้าวันนี้คำร้องของคุณธีรยุทธ นั้นสุดท้ายศาลรัฐธรรมนูญมีเหตุให้ยุบพรรค
สมมติว่ามีเหตุให้ยุบพรรค ผมถามว่าวันนี้สภาฯจะเป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้านได้หรือไม่ สุดท้ายสภาฯในฐานะที่เป็นฝ่ายตรวจสอบทั้งนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารกลับไม่ทำหน้าที่ของตัวเองกลับกลายเป็นเรื่องประชาชนคนไทยธรรมดา ที่ต้องยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญแบบนี้ จะมาหาว่าสุดท้ายเป็นนิติสงคราม สุดท้ายเป็นเรื่องที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจ ก็เพราะสภาฯไม่ใช้อำนาจของตัวเอง นั่นคือสิ่งที่ผมจะฝากไปยังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน เพราะในรัฐธรรมนูญใน มาตรา 172 ไม่ได้บอกว่าจะต้องเป็นสส.ฝ่ายค้าน
-ในคำร้องของคุณธีรยุทธ มีอยู่ข้อที่ระบุถึงพฤติการณ์ คุณทักษิณ ว่าเข้าข่ายผู้ครอบครองและเป็นผู้ครอบงำ สั่งการพรรคเพื่อไทย กรณีให้มีมติขับพรรคพลังประชารัฐ ออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
คือประเด็นอย่างนี้ อย่างที่ผมบอกว่าการที่คุณทักษิณ เข้ามาครอบงำ จริงหรือไม่ ถ้าคุณทักษิณมาครอบงำ ก็ถือเป็นความผิด แต่ถ้าคุณทักษิณไม่ได้สั่งการก็ไม่เป็นความผิด ฉะนั้นกำลังจะบอกว่าในรัฐธรรมนูญ 2560 ยังเขียนไว้เรื่องของการครอบงำ คือไม่ต้องการให้บุคคลภายนอกเข้ามาครอบงำพรรคการเมือง ไม่ต้องการให้กลุ่มทุนมามีอิทธิพลเหนือพรรคการเมือง
จะเห็นได้ว่าตอนที่ยุบพรรคอนาคตใหม่นั้นคุณธนาธร เอาเงินของตัวเองให้พรรคอนาคตใหม่กู้ยืมเงินยังเป็นเหตุให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ เพราะรัฐธรรมนูญมีเจตจำนงชัดเจนว่าไม่ต้องการให้มีกลุ่มทุนหรือกลุ่มการเมือง มาครอบงำพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง หรือแม้แต่การควบรวมพรรค ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังห้าม
นี่คือสิ่งที่อยากอธิบายว่า กรณีมาตรา 170 ชัดเจนว่าให้สิทธิในการที่จะตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นรัฐมนตรีได้แล้วใน มาตรา 170 ประกอบ มาตรา 82 ไม่ได้บอกว่าจะต้องให้สส.ฝ่ายค้านเป็นผู้ลงชื่อเท่านั้น แต่ให้สส.ทั้งสภาฯมีสิทธิลงชื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อตรวจสอบคุณสมบัติ นายกรัฐมนตรีได้ นั่นคือสิ่งที่ผมต้องอธิบายให้ฟัง ว่าวันนี้พรรคประชาชนหรือพรรคก้าวไกลในอดีตทำอะไรอยู่
-การที่คุณเนวิน ชิดชอบ เข้าพบคุณทักษิณ ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า โดยมีคุณอนุทิน อยู่ด้วย เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ผ่านมา ถูกตีความว่าปิดประตู “ลุงป้อม” หรือเปล่า เรื่องของนายกฯคนละครึ่ง อาจจะเป็นคุณอนุทินหรือไม่
คุณอนุทินเองท่านคงยังไม่อยากเป็นนายกรัฐมนตรี หากไปถาม ณ เวลานี้ท่านก็คงไม่อยากเป็น เพราะท่านก็บอกว่าท่านก็คงสนับสนุนคุณแพทองธาร ไปก่อน วันนี้ท่านก็ตอบมาอย่างชัดเจน ผมเชื่อว่าการที่คุณเนวินไปพบคุณทักษิณนั้น อาจจะเป็นการอวยพรวันเกิดกันก็ได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด อย่างที่ผมพูดว่าทางการเมืองมันต้องเกิดเหตุก่อน ถึงค่อยมานั่งคุยกัน ถ้าเหตุไม่เกิด มาคุยกันก่อน ผมคิดว่าเรื่องของทางพรรคร่วมรัฐบาลก็จะมีปัญหาหรือเปล่า แต่เหนือสิ่งอื่นใดโดยบริบททางการเมืองมันไปด้วยกันได้อยู่แล้ว
- ดูอาการแล้ว รัฐบาลน่าจะจบเร็วหรือไม่ จากประสบการณ์ที่ผ่านมา หากดูจากคำร้องของคุณธีรยุทธ ที่เพิ่งไปยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญ
อยู่ที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องหรือไม่ ถ้าศาลรัฐคำร้องแล้ว เรามาคุยกันว่าจะใช้เวลากี่เดือนกี่วันกี่ปี ซึ่งอย่างที่บอกว่าเราไม่สามารถไปชี้นำอะไรได้นะครับแล้วก็แต่คงวิเคราะห์ได้ แต่ก็ต้องดูบริบททางการเมืองว่า ณ เวลานั้นเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ผมกำลังจะพูด คือการที่จะอยู่เร็ว อยู่ช้า อยู่นาน ไม่ได้ขึ้นกับบริบททางการเมืองด้านอื่นซึ่งกับตัวคุณแพทองธาร ผมเคยพูดกับคุณเศรษฐา ทวีสิน ไปแล้วว่า 1. ไม่นอนทำเนียบฯ ดีที่ท่านเชื่อผม ถ้าท่านนอนทำเนียบฯท่านอาจจะไปเร็วกว่านี้
2.ท่านถูกศาลรัฐธรรมนูญรับ ผมบอกแล้วให้ท่านลาออก เพราะท่านเชื่อผม วันนี้ท่านไม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ ว่าท่านไม่สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ฉะนั้นวันนี้ผมก็จะเตือนคุณแพทองธาร เหมือนที่เตือนกับคุณเศรษฐา ว่าผมเองไม่ได้มีอคติอะไรกับคุณแพทองธาร แถมชื่นชมคุณแพทองธาร ด้วยว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงมันเหมือนเรื่องของพ่อเป็นเรื่องของพ่อเรื่องของลูกเป็นเรื่องของลูกพ่อลูกไม่เกี่ยวกันแต่ ณ เวลานี้ กลายเป็นว่าที่ปรึกษาของคุณแพทองธาร เองนั้นเป็นคนที่เคยทำงานกับพ่อมาทั้งสิ้น
ฉะนั้นคุณแพทองธาร ไม่ได้แสดงวิสัยทัศน์ให้เห็นเลยว่า ตัวเองตั้งทีมคนรุ่นใหม่ที่ จะมาบริหารราชการแผ่นดิน แต่กลับกัน คุณแพทองธาร เอาคนรุ่นเก่า แล้วก็เอาคนที่ประชาชนเบื่อหน่าย ที่ปรึกษาบ้าง มาเป็นมาเป็นรัฐมนตรีบ้าง แบบนี้ประชาชนคนตรงกลางที่เขายังไม่เคยเลือกฝัก เลือกฝ่าย เขาก็เบื่อไปด้วย
สิ่งสำคัญที่สุด ณ เวลานี้ต้องยอมรับว่าบ้านเมืองไม่อยู่ในภาวะปกติ บ้านเมืองอยู่ในภาวะที่ต้องการผู้นำที่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว บ้านเมืองอยู่ในภาวะที่ต้องการผู้นำที่มีประสบการณ์และทำงานได้ทันที พูดง่ายๆว่าไม่มีฮันนีมูนพีเรียด พอเป็นนายกรัฐมนตรีต้องทำงานได้เลย ไม่ว่าจะเป็นบริบทที่พูดมาทั้งภัยธรรมชาติทั้งอะไรก็แล้วแต่ ไม่รวมถึงเศรษฐกิจของโลก ที่วันนี้ต้องมีการแข่งขันอย่างสูง ฉะนั้นวันนี้ถ้าคุณแพทองธารจะรอดได้ต้องเปลี่ยนก่อน เปลี่ยนที่ปรึกษาทั้งหมด แล้วตั้งคนรุ่นใหม่ที่เป็นเพื่อน เป็นคนที่ให้อุดมการณ์ ปราศจากอคติทางการเมืองได้ อย่างนี้คุณแพทองธารรอด แต่ถ้าคุณแพทองธารยังสลัดภาพคุณพ่อออกจากตัวไม่ได้ อันนี้เหนื่อย
แล้วทุกคนก็อ่านไปในทางเดียวกัน ว่าถ้าคุณแพทองธาร ยังเดินอยู่แบบนี้ ไม่เกิน 4 เพราะศัตรูของพ่อก็จะกลายเป็นศัตรูของลูก ซึ่งเรื่องอย่างนี้ผมคิดว่าไม่เป็นธรรมกับคุณแพทองธาร เพราะไม่เกี่ยวกัน แต่คุณแพทองธารต้องสลัดภาพนี้ออกให้ได้ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าเป็นนายกฯที่ตั้งใจทำงานเพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชน
ถ้าไม่ทำแบบนี้ ก็จะกลายเป็นว่าคุณแพทองธาร กำลังจะเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องของตัวเอง ซึ่งมันไม่แตกต่างกับอดีต ที่ประชาชนคนทั้งประเทศเปลี่ยนไปแล้ว ฉะนั้นผมถึงบอกว่าต้องให้ความเป็นธรรมกับคุณแพทองธาร แล้วให้คุณแพทองธารโชว์วิสัยทัศน์ โชว์ฝีมือ เพราะเชื่อว่าการที่เป็นคนรุ่นใหม่ขึ้นมาบริหารราชการแผ่นดินนั้นดีอยู่แล้วครับ แต่ต้องสลัดภาพเดิมออกให้ได้