สมจริงดั่งคำของ “เฮนรี จอห์น เทมเปิล ไวเคานต์พาเมอร์สตันที่ 3” ซึ่งเป็นรัฐบุรุษ และอดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักร ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ท่านกล่าวว่า “การเมือง ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูถาวร มีแต่เพียงผลประโยชน์ของเราเท่านั้นที่เป็นนิรันดร์ถาวร”

และก็มิใช่เฉพาะแต่ “การเมืองในประเทศ” เท่านั้น ทว่า แม้กระทั่ง “การเมืองระหว่างประเทศ” ก็จริงดั่งคำที่อดีตรัฐบุรุษแห่งเมืองผู้ดีกล่าวไว้ด้วยเช่นกัน

ดังจะเห็นได้จากรายงานข่าวที่บรรดาผู้นำประเทศจับขั้ว เลือกข้างกันในยุคหนึ่งสมัยหนึ่ง แต่พอผ่านมาอีกยุคสมัยเหล่าผู้นำประเทศข้างต้นนั้น ก็เปลี่ยนขั้ว ย้ายข้างกันไปอีกฝั่ง ชนิดพลิกกลับตาลปัตรราวกับหน้ามือ เป็นหลังมือ เลยก็มี

ยกตัวอย่างล่าสุด ก็เป็นรายของ “นายโมฮาเหม็ด มูอิซซู ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของมัลดีฟส์” หนึ่งในประเทศของภูมิภาคเอเชียใต้ ที่แต่ไหนแต่ไร ได้ชื่อว่าเป็นนักการเมืองของมัลดีฟส์ ที่นิยมชมชอบต่อประเทศจีนเป็นนักเป็นหนา หรือกล่าวได้ว่า เขา “โปรจีน” ยิ่งกว่านักการเมืองคนใดในมัลดีฟส์

ถึงขนาดหยิบยกให้เป็นหนึ่งในนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเขา ในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง จนสามารถชนะเลือกตั้ง ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของมัลดีฟส์อย่างสมใจ ตั้งแต่เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนปลายปีที่แล้ว

แน่นอนว่า เมื่อแสดงออกถึงการ “นิยมชมชอบ” หรือ “โปร” จีนอย่างออกนอกหน้าเช่นนั้น ก็ย่อมต้องถล่มโจมตีต่อชาติคู่แข่ง คู่ปรับ ของจีน ซึ่งในภูมิภาคเอเชียใต้ ก็มิใช่ชาติใดที่ไหนอื่น แต่เป็น “อินเดีย” นั่นเอง

ทั้งนี้ ทั้งจีนและอินเดีย ที่ถูกยกให้สองพี่เบิ้ม หรือชาติมหาอำนาจในภูมิภาคเอเชีย ต่างก็พยายามขยายอิทธิพลเข้าไปในภูมิภาคต่างๆ รวมถึงเอเชียใต้ ซึ่งอินเดีย ถูกจัดให้เป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาคแห่งนี้มาตั้งแต่ครั้งอดีต ก่อนถูกจีนเข้ามาแข่งขันช่วงชิงในเวลาต่อมา

โดยนายมูอิซซู ได้ปราศรัยโจมตีอินเดีย และคู่แข่งในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีมัลดีฟส์ 2023 (พ.ศ. 2566) คือ นายอิบราฮิม โมฮาเหม็ด โซลิห์ ประธานาธิบดีมัลดีฟส์คนก่อน ซึ่งเป็นผู้นิยมชมชอบ หรือโปรอินเดีย ตลอดช่วงการรณรงค์หาเสียงข้างต้น จนกล่าวได้ว่า เขาเป็นนักการเมืองในกลุ่มที่ “แอนตี-อินเดีย” หรือ “ต่อต้านอินเดีย” อย่างตัวฉกาจ นับตั้งแต่ที่เขาดำรงตำแหน่ง “นายกเทศมนตรีแห่งกรุงมาเล” เมืองหลวงของมัลดีฟส์ มาเลยก็ว่าได้

การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีมัลดีฟส์ของนายโมฮาเหม็ด มูอิซซู ที่มักจะปราศรัยชูนโยาบายต่อต้านอินเดีย และสนับสนุนจีน (Photo : AFP)

ทั้งนี้ มีรายงานถึงสถานการณ์และบรรยากาศของการต่อต้านอินเดียโดยนายมูอิซซู ประธานาธิบดีคนใหม่ของมัลดีฟส์ด้วยว่า ถึงขั้นให้เอ่ยปากให้อินเดียถอนกำลังออกไปจากมัลดีฟส์เลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นไปตามนโยบายการณรงค์หาเสียงของนายมูอิซซูได้ให้คำมั่นไว้กับประชาชนในช่วงเลือกตั้ง แล้วหลังจากมัลดีฟส์ ก็ไปผูกสมัครกระชับความสัมพันธ์กับจีนอย่างแน่นแฟ้นมากขึ้น ซึ่งกล่าวกันว่า สร้างความไม่พอใจให้แก่อินเดียไม่น้อยเหมือนกัน เพราะมัลดีฟส์ ไม่ผิดอะไรกับหลังบ้านของอินเดีย ที่มิควรมีชาติอื่นใดนอกเหนือจากอินเดียเข้าไปมีอิทธิพลเฉกเช่นที่จีนทำอยู่

การพบปะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ระดับสูงของมัลดีฟส์กับจีน ในการสานสัมพันธ์ของสองประเทศในช่วงที่ผ่านมา (Photo : AFP)

แต่มิว่าจะอย่างไรก็ดี อินเดียก็ต้องถอนทหารออกจากมัลดีฟส์ โดยเริ่มถอนเมื่อช่วงเดือนมีนาคมต้นปีนี้นี่เอง

ทว่า หลังจากที่นายมูอิซซู ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีมัลดีฟส์มาได้ยังไม่ทันถึง 1 ปี เขาก็มีอันต้องส่งสัญญาณว่า รัฐบาลของเขาจะนำพามัลดีฟส์ หวนกลับไปมีความสัมพันธ์อันดีกับอินเดียเฉกเช่นแต่เก่าก่อนเมื่อครั้งอดีต

อย่างไรก็ดี ก่อนอื่นใดที่หวนไปมีความสัมพันธ์อันดี ก็ต้องรื้อฟื้น ซ่อมแซม ความสัมพันธ์ที่ผุกร่อนไปในช่วงเกือบขวบปีก่อนหน้า ซึ่งสืบเนื่องจากการที่นายมูอิซซู ได้หาเสียงถล่มโจมตีอินเดียมาโดยตลอดในห้วงเวลาที่ผ่านมา

ปฏิบัติเบื้องต้นของการรื้อฟื้นซ่อมแซมความสัมพันธ์ที่แทบจะภินท์พังลงไปนั้น ก็คือ ประธานาธิบดีมูอิซซูของมัลดีฟส์ ได้เดินทางไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ โดยไปถึงกรุงนิวเดลี นครหลวง เมืองเอกของประเทศแห่งแดนภารตะ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา

โดยประธานาธิบดีมูอิซซู ได้พบปะกับนายนเรนทรา โมทิ นายกรัฐมนตรีอินเดีย ที่กรุงนิวเดลี

ทั้งนี้ มีรายงานว่า สร้างความยินดีปรีดาให้แก่นายกรัฐมนตรีโมทิเป็นอย่างยิ่ง

ถึงขั้นที่ “ปูพรมแดง” รับขวัญการมาเยือนกรุงนิวเดลี พร้อมทั้งเปิดเรือนรับรอง “ไฮเดอราบัด เฮาส์” ให้การต้อนรับประธานาธิบดีมูอิซซูของมัลดีฟส์อย่างสมเกียรติกันเลยทีเดียว

โดยตามการประกาศของกระทรวงการต่างประเทศของอินเดีย ระบุว่า ประธานาธิบดีมูอิซซู มีกำหนดการเยือนพำนักอยู่ในอินเดียเป็นเวลาถึง 5 วันทีเดียว

ก็ต้องถือว่า เป็นกำหนดการเยือนพำนักในต่างประเทศเป็นเวลาหลายวันด้วยกัน ที่ประธานาธิบดีมูอิซซู เดินทางไปฟื้นฟูความสัมพันธ์กับอินเดียครั้งปฐมฤกษ์นี้

เยือนไม่เยือนเปล่า แต่ประธานาธิบดีมูอิซซู ยังโปรยยาหอมใส่อินเดียด้วยว่า “เป็นหุ้นส่วนอันทรงคุณค่า” ของมัลดีฟส์

สาเหตุปัจจัยที่ทำให้มัลดีฟส์ หวนกลับไปคืนดีกับอินเดีย ทางบรรดานักวิเคราะห์ก็แสดงทรรศนะว่า ทางมัลดีฟส์หวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจากอินเดียทั้งในด้านการเงิน และการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งมัลดีฟส์ กำลังผจญชะตากรรมกับสถานการณ์กับดักหนี้ จำนวนมิใช่น้อยสำหรับมัลดีฟส์ โดยมีรายงานว่า มัลดีฟส์ มีหนี้สินกับจีนมากถึง 1.37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ด้วยกัน แต่ปรากฏว่า ในขณะเดียวกัน ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศของมัลดีฟส์กลับหดตัวลงอย่างรุนแรงเหลือเพียง 440 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เท่านั้น ในขณะที่กำหนดการที่จะใช้คืนหนี้ ก็กำลังคืบคลานมาใกล้ทุกขณะ ทั้งนี้ นอกจากหนี้ใหม่ที่มัลดีฟส์กู้มาจากมหาอำนาจรายใหม่อย่างจีนแล้ว ในอดีตมัลดีฟส์ก็ยังมีหนี้ของเดิมอยู่แล้วกับอินเดีย พี่เบิ้มใหญ่ในภูมิภาคนี้ด้วยเช่นกันโดยเหล่านักวิเคราะห์บอกว่า ชะตากรรมคล้ายกับศรีลังกาอยู่เหมือนกัน ที่เผชิญกับดักหนี้ ในขณะที่ประเทศมีรายได้จากไม่กี่ทาง หลักๆ เลยก็คือ ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถ้านักท่องเที่ยวต่างชาติ เดินทางเข้ามาน้อย หรือไม่เดินทางเข้ามา ก็เป็นอันว่า ไม่ได้เม็ดเงินเข้าประเทศ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม จนต้องพึ่งพาต่างชาติอย่างที่เป็นอยู่