วันที่ 15 ต.ค.67 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร., พล.ต.ท.อัครเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์, พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป., พ.ต.อ.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย, พ.ตอ.เผด็จ งามละม่อม รอง ผบก.ป., พ.ต.อ.มนูญ แก้วก่ำ ผกก.1 บก.ป. พ.ต.ท.อัครพล มณีวรรณ, พ.ต.ท.สมเดช สาระบรรณ์, พ.ต.ท.ธนศักดิ์ สว่างศรี, พ.ต.ท.อภิชน ขันกา และ พ.ต.ท.พชรเดช บุญฤทธิ์ รอง ผกก.1 บก.ป.เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม นำโดย เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. ร่วมกันดำเนินการจับกุม 

กลุ่มที่ 1 ผู้ร่วมขบวนการเว็บพนันออนไลน์ Crown168 จำนวน 14 ราย พร้อมยึดบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) จำนวน 685 บัญชี, บัตรกดเงินสดอีกหลาย 100 ใบ, โทรศัพท์มือถือ, ซิมการ์ดโทรศัพท์ รวมของกลางอื่น ๆ กว่า 1,000 รายการ 

กลุ่มที่ 2 ผู้ร่วมขบวนการจัดหาบัญชีม้า จำนวน 20 ราย จับกุมแล้ว 14 ราย พร้อมยึดแท็บเลตเครื่องสำคัญที่ใช้ในการจัดหาบัญชีม้า,โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และสมุดบัญชีบางส่วน 

กลุ่มที่ 3 ผู้ร่วมขบวนการฟอกเงินธุรกิจสีเทา จำนวน 38 ราย จับกุมแล้ว 36 ราย พร้อมตรวจยึดธนบัตรไทยและธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐ รวมมูลค่ากว่า 31 ล้านบาท และของกลางอื่นๆ อีกหลายรายการ ทั้งนี้ยังได้มีการอายัดเงินในบัญชีธนาคารของนิติบุคคลที่พบความเชื่อมโยงกันอีกหลายบริษัท รวมจำนวนกว่า 25 ล้านบาท 

รวมผลการปฏิบัติสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสิ้น 72 หมาย จับกุมแล้ว 64 ราย หลบหนี 8 ราย 

พฤติการณ์ สืบเนื่องจากเมื่อช่วงต้นปี พ.ศ.2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. ได้ดำเนินการจับกุมเว็บพนันออนไลน์ Crown168 ซึ่งได้รับการประสานงานจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่ตรวจพบเว็บไซต์ชื่อ https://crown168.com/ ที่มีการจัดให้มีการเล่นพนันในลักษณะคาสิโนออนไลน์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตโดยผิดกฎหมาย (พนันออนไลน์) จากการจับกุมดังกล่าวสามารถจับกุมผู้กระทำความผิดจำนวน 14 ราย พร้อมยึดบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) จำนวน 685 บัญชี, บัตรกดเงินสดอีกหลาย 100 ใบ, โทรศัพท์มือถือ, ซิมการ์ดโทรศัพท์ รวมของกลางอื่น ๆ กว่า 1,000 รายการ ซึ่งจากการตรวจสอบบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) ที่ตรวจยึดได้นั้น พบว่ามีบัญชีธนาคารนิติบุคคลหรือบริษัทรวมอยู่ด้วย  

ต่อมาได้มีการนำบัญชีธนาคารที่ตรวจยึดได้มาตรวจสอบกับข้อมูลกับศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ หรือ ศูนย์ AOC (Anti Online Scam Operation Center) โดยพบว่า บัญชีธนาคารดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นบัญชีรับเงินจากผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงโดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมีข้อมูลตรงกับที่มีการรับแจ้งจากศูนย์ AOC จำนวนหลายคดี เช่น หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน, หลอกให้โอนเงินเพื่อหารายได้เสริม, หลอกให้ติดตั้งโปรมแกรมเพื่อควบคุมโทรศัพท์มือถือผู้เสียหาย, หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล เป็นต้น 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. จึงได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อตรวจสอบที่มาของบัญชีธนาคารและซิมการ์ดโทรศัพท์ที่ตรวจยึดได้ จนภายหลังทราบว่า บัญชีธนาคารต่าง ๆ ได้มาจากกลุ่มบุคคล ซึ่งมีการรวมตัวกันเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่กันทำ สั่งการผ่านทางกลุ่มไลน์เฉพาะ ที่มีสมาชิกของขบวนการภายในกลุ่มไลน์ มีการให้ค่าตอบแทนกับผู้ที่มาทำหน้าที่เปิดบัญชีธนาคาร เป็นรายเดือน ๆ ละ 2,000 บาทต่อคนต่อเดือน และเมื่อบัญชีธนาคารมีปัญหา เช่น ถูกอายัดบัญชี, ถูกหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ, บัญชีที่ทางธนาคารไม่อนุญาตให้ทำธุรกรรมการเงิน บัญชีเหล่านี้จะได้รับเงินค่าตอบแทนรายเดือนน้อยลงเรื่อย ๆ จนเมื่อบัญชีธนาคารไม่สามารถใช้งานได้ หัวหน้าขบวนการจะแจ้งตามลำดับลงมาว่าให้งดจ่ายค่าตอบแทนรายเดือนของบุคคลตามที่แจ้งมา และให้ดำเนินการปิดบัญชี 

ส่วนสมาชิกในขบวนการจะได้ค่าตอบแทนเป็น “ค่าหัวคิว” หักจากเจ้าของบัญชีธนาคาร ซึ่งหากสมาชิกคนใดหาคนมาเปิดบัญชีธนาคารได้มาก ก็จะได้ค่าตอบแทนมากขึ้นตามลำดับ หลังจากนั้นเมื่อได้บัญชีธนาคารพร้อมใช้งานมาแล้ว ขบวนการดังกล่าวจะนำบัญชีธนาคารที่ได้มาไปใช้เป็นบัญชีที่รับเงินที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น บัญชีรับแทง (บัญชีรับเงินจากผู้เล่นพนันทุกประเภท), บัญชีจ่ายผลตอบแทนให้กับผู้เล่นการพนันทุกประเภท, บัญชีที่ใช้รับเงินจากผู้เสียหายที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง เป็นต้น 

โดยในขบวนการดังกล่าวมีการแบ่งหน้าที่กันชัดเจน ดังนี้ 

1. หัวหน้าองค์กรระดับสั่งการ เรียกว่า “บอส” 
2. ผู้รับคำสั่งจากหัวหน้าองค์กร มีหน้าที่รับคำสั่งจาก “บอส” ในชั้นนี้แบ่งหน้าที่ได้เป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มรวบรวมเงิน, กลุ่มรวบรวมบัญชีม้า และ ฝ่ายการเงินองค์กร 
3. ผู้มีหน้าที่หาผู้มาเปิดบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) และรวบรวมส่งตามคำสั่งของบุคคลตามข้อ 2 เรียกว่า “หัวหน้าสาย” เช่น หัวหน้าสายร้อยเอ็ด, หัวหน้าสายอยุธยา, หัวหน้าสายมหาสารคาม เป็นต้น 
4. ผู้มีหน้าที่รับคำสั่งจากบุคคลตามข้อ 3  โดยมีหน้าที่พาบุคคลไปเปิด-ปิดบัญชีธนาคาร และบรรจุบัญชีธนาคารพร้อมซิมการ์ดโทรศัพท์ลงในกล่อง แล้วนำส่งบริษัทขนส่งเอกชนต่าง ๆ ตามที่อยู่ที่บุคคลในข้อ 3 แจ้ง โดยได้รับค่าตอบแทนจากองค์กร เรียกว่า “แม่สาย” ในชั้นนี้ มีทั้งแม่สายเปิดบัญชีเองด้วย และหาคนทั่วไปมาเปิดบัญชีม้า 
5. ผู้ที่ทำหน้าที่เปิดบัญชีธนาคารแล้วส่งมอบให้กับบุคคลตามข้อ 4 เรียกว่า “ลูกสาย” 

ผลการปฏิบัติการดังกล่าวสามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการจัดหาบัญชีม้าได้จำนวน 14 ราย โดยยังมีอีก 6 ราย ซึ่งเป็นระดับหัวหน้าและผู้ใกล้ชิดหัวหน้าขบวนการ หลบหนีไปยังประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ยังสามารถตรวจยึดแท็บเลต,  ซิมการ์ด และโทรศัพท์มือถือที่ใช้ในการติดต่อสั่งการกันในขบวนการอีกจำนวนหลายรายการ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์มือถือพบว่ามีกลุ่มไลน์เกี่ยวกับการจัดหาบุคคลมาเปิดบัญชี, การจ่ายเงินค่าตอบแทน, แก้ไขสแกนใบหน้า จำนวน 19 กลุ่มไลน์ และยังพบข้อมูลสถานที่ส่งบัญชีม้าอีก 17 จุดทั่วประเทศ  

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. ได้ทำการสืบสวนขยายผลบัญชีธนาคารประเภทนิติบุคคลหรือบริษัทที่ตรวจยึดมาได้ พบว่ามีเส้นทางการเงินต้องสงสัยเชื่อมโยงไปยังบัญชีธนาคาร บริษัท จี เอ็น xxx จึงได้ทำการตรวจสอบ ปรากฏว่าภายในระยะเวลา 1 เดือน บริษัท จี เอ็น xxx มีการรับโอนเงินจากบริษัทฯ อื่น ๆ กว่า 21 บริษัท เป็นเงินกว่า 800 ล้านบาท จึงได้ทำการสืบสวนขยายผลจนพบว่าบริษัทฯ จำนวน 21 บริษัท ที่โอนเงินเข้ามายัง บริษัท จี เอ็น xxx  เป็นการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคล เปิดบริษัทฯ มาบังหน้าเท่านั้น ไม่ได้มีการดำเนินกิจการตามจุดประสงค์ที่ขอจดทะเบียน 

และจากการตรวจสอบข้อมูลบุคคลของกรรมการบริษัทฯ แต่ละรายแล้ว พบว่าเป็นบุคคลที่มีฐานะไม่สัมพันธ์กับเงินหมุนเวียนของบริษัทที่มียอดเงินหมุนเวียนนับร้อยล้านบาท  เพราะแท้จริงแล้ว บริษัทฯ จัดตั้งขึ้นมาเพื่อต้องการไปขอเปิดบัญชีธนาคารกับธนาคารแล้วนำบัญชีธนาคารของนิติบุคคลหรือบริษัทนั้น มาเป็นบัญชีรับเงิน-จ่ายเงินให้กับกลุ่มเว็บพนันออนไลน์กว่า 10 เว็บไซต์ และกลุ่มเครือข่ายที่กระทำผิดกฎหมายอย่างอื่นอีก โดยมีการโอนเงินผลประโยชน์ที่ได้รับจากการเปิดให้เล่นการพนันต่อไปยังบัญชีธนาคารของ บริษัท จี เอ็น xxx ก่อนกรรมการ บริษัท จี เอ็น xxx (ม้า) จะลงลายมือชื่อในใบถอนเงินและเอกสารมอบอำนาจ โดยเว้นช่องชื่อผู้รับมอบอำนาจและจำนวนเงิน ทิ้งไว้ให้กับกลุ่มถอนเงิน ไปตระเวนถอนเงินผิดกฎหมายทั่วกรุงเทพ 

ซึ่งจากการสืบสวนติดตามกลุ่มผู้ต้องหากลุ่มนี้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2567 สามารถพิสูจน์ทราบถึงขบวนการฟอกเงินรายใหญ่ในประเทศได้ โดยกลุ่มผู้ต้องหาจะเรียกตัวเองว่าเป็นกลุ่ม Payment ซึ่งทำหน้าที่ในการรับฟอกเงินให้กับธุรกิจสีเทาต่าง ๆ โดยจากการตรวจสอบพบความเชื่อมโยงกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์, แก๊งค้ายาเสพติด และเว็บพนันออนไลน์ โดยคิดค่าตอบแทนอย่างน้อย 3% ต่อยอดเงินที่กลุ่มธุรกิจสีเทานำมาฟอก และหากกลุ่มธุรกิจสีเทาต้องการฟอกเป็นเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี กลุ่ม Payment ก็จะนำเงินสดไปทำการแลกเปลี่ยนโดยมีค่าตอบแทนเป็น % ตามจำนวนเงินที่นำมาแลกอิงตามค่าเงินเหรียญ USDT ของวันนั้น ๆ  

ผลการปฏิบัติการตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ.2567 นำมาสู่การสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ต้องหาขบวนการจัดหาบัญชีธนาคารประเภทนิติบุคคล (บริษัท) เพื่อฟอกเงินให้กับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายทั้งบุคคลและองค์อาชญากรรมต่าง ๆ โดยในวันที่ 7-11 ตุลาคม 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป. สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้ จำนวน 36 ราย พร้อมตรวจยึดธนบัตรไทยและธนบัตรดอลล่าร์สหรัฐมูลค่ารวมกว่า 31 ล้านบาท, สมุดบัญชีธนาคาร บริษัท จี เอ็น xxx พร้อมหลักฐานอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้ทำการอายัดเงินในบัญชีธนาคารของนิติบุคคล ที่พบความเชื่อมโยงกันอีกหลายบริษัท รวมจำนวน 25 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนนั้นยังพบว่าเป็นเงินจากขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์โอนเข้ามาเพื่อฟอกเงินอีกด้วย  

ทั้งนี้ ในทางสืบสวนพบว่ามีข้อมูลที่เชื่อว่ายังมีกลุ่มนิติบุคคลที่ทำการเปิดบริษัท โดยการจ้างบุคคลอื่นมาเป็นกรรมการ ซึ่งเมื่อทำการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทได้แล้ว จะไปยื่นขอเปิดบัญชีธนาคาร แล้วนำบัญชีธนาคารในรูปแบบนิติบุคคลไปใช้ประโยชน์ในลักษณะที่ทำการจับกุมมาแล้วอยู่อีกจำนวนหลายกลุ่ม ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ป จะทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดรายที่เหลือเพื่อเป็นการตัดตอน และแก้ปัญหาบัญชีธนาคารม้า ที่กำลังระบาดสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างแพร่หลายต่อไป  

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนทุกท่าน การเปิดบัญชีธนาคารให้บุคคลอื่นใช้ เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย และก่อให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงต่อตัวเจ้าของบัญชีและสังคม การกระทำดังกล่าวถือเป็นการสนับสนุนกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็น การฟอกเงิน การฉ้อโกง แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติ หากบัญชีดังกล่าวถูกนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย อาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย และต้องรับโทษทั้งจำคุกและปรับ จากการกระทำดังกล่าวอาจทำให้มีผู้คนอีกจำนวนมากที่จะต้องสูญเสียทรัพย์สินไปอย่างประเมินค่าไม่ได้ เพียงเพราะการเปิดบัญชีธนาคาร ที่ได้ผลตอบแทนเพียงน้อยนิด ไม่ว่าจะได้รับข้อเสนอล่อใจใดๆ ก็ตาม ควรปฏิเสธอย่างเด็ดขาด หากพบเห็นบุคคลที่พยายามชักชวนให้เปิดบัญชี หรือมีพฤติกรรมที่น่าสงสัย ควรแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบโดยทันที