เหยื่อแห่แจ้งกองปราบทะลุพันราย วันนอร์สั่งสอบ คลิปเสียง! -กมธ.รับเคลียร์ -คดีดิไอคอนกรุ๊ป วันนอร์สั่งเลขาฯสภา สอบคลิปเสียง กมธ.เรียกรับผลประโยชน์ เคลียร์คดีดิไอคอนกรุ๊ป ด้านประธาน กมธ.ฟอกเงิน ปัดมีล็อบบี้ขอเคลียร์ ซัดชายนิรนามอ้างเป็น กมธ.เข้าข่ายนักต้มตุ๋น แนะจนท.ทำคดีแบบกลุ่ม จะได้เสร็จเร็วขึ้น สามารถ ลั่นไม่ใช่คนในคลิปเสียง ขู่ฟ้องคนพาดพิง ขณะที่กองปราบโต้ข่าวรับงาน บอสพอล แจงค้นบ้านเหยื่อ เหตุโพสต์ขู่ ส่วน หนุ่ม-กรรชัย-กัน จอมพลัง-บอย-ปกรณ์ พาผู้เสียหายลุยแจ้งความเอาผิดดิไอคอนกรุ๊ป ขณะที่ยอดเหยื่อพุ่งกว่าพันราย
ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา เมื่อวันที่ 14 ต.ค.67 นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงเรียกรับทรัพย์จากผู้ต้องหาในคดีบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) สถาผู้แทนราษฎร ว่า จะให้เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรตรวจสอบโดยด่วนและจะแก้ไข เพราะมีเรื่องทำนองดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อย ยืนยันว่าจะรีบดำเนินการ คิดว่าคงไม่ยาก และถ้าพบเห็นเราต้องแก้ไขให้บุคคลเหล่านั้นพ้นตำแหน่ง ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างอีกต่อไป "กรณีคลิปเสียงที่ปรากฏยังเป็นเพียงข้อกล่าวหา ต้องมีการสืบสวนข้อเท็จจริง คาดว่าคงไม่ยาก หากมีผู้เสียหายมายืนยัน ซึ่งฝ่ายเลขาธิการสภาฯ จะตรวจสอบทันที หากประชาชนสงสัย ขอให้ติดต่อมา ส่วนบทลงโทษแม้ไม่เป็น สส. แต่เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมาธิการ ก็จะต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการ เพราะการแอบอ้างและหาผลประโยชน์มีโทษกฎหมายอาญา แต่ขอให้แจ้งหลักฐานที่ชัดเจนก่อน
นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด (ปปง.) สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคลิปเสียงชายคนหนึ่งอ้างว่าเป็น กมธ. และเคลียร์เรื่อง ดิ ไอคอน ให้ได้ ว่า ตนเรียนยืนยันอย่างชัดเจนว่า กมธ. ปปง. ทำทุกเรื่องอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีการเจรจาหรือทำอะไรที่ให้ประชาชนเดือดร้อน ไม่เคยมีการเจรจาต่อรอง ไม่เคยมีปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นใน กมธ.คณะนี้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีคนติดต่อเข้ามาขอเคลียร์เพื่อไม่ให้พิจารณาเรื่องดิไอคอนหรือไม่ นายเลิศศักดิ์ กล่าวยืนยันว่าไม่มี และวันที่ 16 ต.ค. ทาง กมธ.ปปง. จะมีการพิจารณาเรื่องนี้เบื้องต้นตามเดิมว่าจะเชิญหน่วยงานใดมาบ้าง รวมถึงนักกฎหมายเข้ามาหารือ เนื่องจากเราต้องการดูข้อกฎหมายที่ชัดเจนว่าจะเอาผิดในส่วนของผู้เป็นเจ้าของดิไอคอนว่าอย่างไร ซึ่งเบื้องต้นมีความผิดปกติอย่างแน่นอน ประชาชนก็เดือดร้อนเป็นจำนวนมาก จึงค่อนข้างชัดเจนแล้วในขณะนี้ เพราะฉะนั้นเราคงจะหาข้อมูลเตรียมไปด้วยและติดตามส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐที่ดำเนินการเรื่องนี้ ในวันพุธ และเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามา กมธ.ในสัปดาห์หน้า
ก็ให้ไปติดตามดูว่า กมธ.จะดำเนินการอย่างไร การดำเนินการของ กมธ. จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไม่ได้มีใครมาล็อบบี้หรือเจรจาได้ ใครก็แล้วแต่ที่ถูกอ้างว่าเจรจาได้ ยืนยันว่าไม่มีแน่นอนครับ นายเลิศศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องดิไอคอน เป็นความเสียหายของประชาชนจำนวนมาก และจะกลายเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคนที่จะมาลงทุน หรือมาซื้อสินค้า รวมถึงเข้าสู่ธุรกิจในรูปแบบนี้ ดังนั้นต้นอยากให้การดำเนินคดีเป็นบทเรียนสำคัญ และเอาผิดผู้ที่ประสงค์ไม่ดีกับประชาชนทั่วไป เราจะตามจนถึงที่สุดแน่นอน เมื่อถามว่า คนที่แอบอ้างเป็นกมธ. จะเรียกว่าเป็น นักต้มตุ๋นได้หรือไม่ นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ก็คงจะทำนองนั้น ถ้าคลิปเสียงนี้เป็นความจริง ก็ถือว่าเป็นนักฉวยโอกาส ไม่ได้มีตำแหน่งแห่งหนอะไรใหญ่โต มีศักดิ์ศรีเพียงพอที่จะเจรจาอะไรกับใครได้ เป็นแค่นักต้มตุ๋นธรรมดา
เมื่อถามว่า ผู้เสียหายและมูลค่าเยอะมาก จะทำให้กระบวนการตรวจสอบเอาผิดล่าช้าขึ้นหรือไม่ นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า ตอนนี้ทางตำรวจสอบสวนกลางกำลังรับแจ้งความ ซึ่งการดำเนินคดีตนคิดว่าอาจจะต้องมีหน่วยงานหรือใครที่เข้าไปช่วยให้มีการดำเนินคดีแบบกลุ่ม ที่เรียกว่าคลาสแอคชัน แบบกรณีบริษัท สตาร์ค ซึ่งก็สะดวกและทำให้ไปในทิศทางเดียวกัน ตนคิดว่าต้องมีหน่วยงานกลางเข้ามาดูเรื่องการดำเนินคดี กำลังดูอยู่ว่าใครจะออกมาดำเนินการในเรื่องนี้ ในส่วนของ กมธ.เอง ถ้าเราทำได้ก็อยากจะช่วยอำนวยความสะดวก เมื่อถามว่า ส่วนจะมีการเชิญดาราที่เกี่ยวข้องมาหรือไม่ นายเลิศศักดิ์ กล่าวว่า คงต้องเชิญหลายฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง มันอาจจะไม่ได้จบเพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อเชิญหน่วยงานของรัฐ ผู้เสียหายและผู้ที่เป็นผู้บริหารบริษัทเข้ามาบางครั้งก็ไม่พูดคุยจบภายใน 2-3 ชั่วโมง ตนเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ได้ประชุมครั้งเดียวอย่างแน่นอน
ด้าน นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ถึงกรณีมีการเผยแพร่คลิปเสียงเรียกนักการเมืองเรียกรับทรัพย์จากผู้บริหารบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ในชั้นกรรมาธิการ (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร ว่า ยืนยันชัดเจนว่าไม่ใช่เป็นเสียงของตนเอง และหากใครมาพาดพิงหรือกล่าวหา ตนจะดำเนินการทางกฎหมายทันที ตอนนี้ตนอยู่ต่างประเทศ หากสื่อช่องไหนต้องการจะสัมภาษณ์หรือข้อมูลเพิ่มเติมรอให้ตนเองกลับไปก่อน ขณะเดียวกัน จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก อีซ้อขยี่ข่าว : อีซ้อ ได้โพสต์ภาพและข้อความระบุว่า เจ้าข้าเอ๋ยยยย...บอสพอลข่มขู่ผู้เสียหายที่ไปแจ้งความ โดยการเอากองปราบให้ไปบุกค้นบ้านผู้เสียหาย เจ้าข้าเอ๋ย... จนกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์นั้น ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับภาพตำรวจกองปราบนำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักหลังหนึ่งของผู้เสียหายนั้น จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 พ.ค.67 หรือ ช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เหตุการณ์ปัจจุบันตามที่เพจดังกล่าวมีการนำเสนอ โดยที่ไปที่มาของการเข้าตรวจค้นบ้านพักหลังดังกล่าวนั้น ทราบว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย.67 บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ได้ส่งตัวแทนเข้าร้องขอความช่วยเหลือกับทางตำรวจกองปราบ หลังมีนายณัฐนันท์ อายุ 43 ปี สมาชิกของบริษัทรายหนึ่ง โพสต์ข้อความและไลฟ์สดผ่านเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวข่มขู่ จะก่อเหตุกราดยิงฆาตกรรมหมู่ 300 ศพ ภายในงานเอ็กโป ที่บริษัทกำลังจะจัดขึ้นช่วงระหว่างวันที่ 11-12 พ.ค.67 ซึ่งเป็นงานรวมตัวแทนจำหน่ายของบริษัท
หลังรับเรื่องดังกล่าวทางตำรวจจึงจัดกำลังลงพื้นที่สืบหาข้อมูล พร้อมขออำนาจศาลเข้าตรวจค้น เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุร้ายขึ้นมา จึงนำมาสู่การนำกำลังเข้าตรวจค้นบ้านพักของนายณัฐนันท์ ในพื้นที่ จ.เชียงราย เมื่อวันที่ 8 พ.ค.67 ที่ผ่านมา แต่จากการตรวจค้นครั้งดังกล่าวเบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมายและและไม่พบตัวนายณัฐนันท์ จึงได้แจ้งญาติซึ่งอยู่ ณ สถานที่ดังกล่าว ให้ติดต่อนายณัฐนันท์ เพื่อให้มาพูดคุยและสอบถามเกี่ยวกับเหตุดังกล่าว ก่อนที่ต่อมาในวันเดียวกัน นายณัฐนันท์ จะเดินทางมาพบ ตำรวจ กก.4 บก.ป. ที่ กก.สส.ภ.จว.เชียงราย
โดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างตนเองและบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ทางเจ้าหน้าที่จึงได้พุดคุยเพื่อรับทราบปัญหา ทำความเข้าใจ พร้อมกับตักเตือนเกี่ยวกับการโพสต์คลิปวิดีโอหรือข้อความข่มขู่ และแนะนำให้ไปใช้สิทธิดำเนินคดีกับบริษัทฯ ผู้บริหารบริษัทฯ และบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยวิธีการทางกฎหมาย ซึ่งนายณัฐนันท์ ได้รับทราบจนเข้าใจดีก่อนได้เดินทางกลับบ้านไป ขณะเดียวกัน ยังได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงของตำรวจกองปราบ ว่า กรณีที่เพจดังกล่าวนำเสนอนั้น ไม่เป็นความจริง และเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว คนละช่วงเวลากับเรื่องราวความขัดแย้งในปัจจุบัน พร้อมยืนยันว่าการเข้าตรวจค้นบ้านพักของ นายณัฐนันท์ เป็นไปตามหลักกฎหมาย และไม่ได้กระทำเพราะรับคำสั่งจากบุคคลใด เพื่อไปข่มขู่ แต่ที่ต้องเข้าตรวจค้นก็เพื่อป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุร้าย ซ้ำรอยเหตุกราดยิงห้างดังกลางเมืองขึ้นมาเพียงเท่านั้น
วันเดียวกัน ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) นายภูดิท กำเนิดพลอย หรือ หนุ่ม กรรชัย นักแสดงและพิธีกรชื่อดัง พร้อมด้วย นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ พระเอกชื่อดัง และนายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือกัน จอมพลัง นําผู้เสียหายจากกรณีบริษัทอาหารเสริมชื่อดัง ดิ ไอคอน กรุ๊ป เดินทางเข้าแจ้งความตํารวจ บก.ปคบ. ที่กองบัญชาการตํารวจสอบสวนกลาง
หนุ่ม กรรชัย กล่าวว่า หลังมีการนําเสนอข่าวออกไปพบมีผู้เสียหายจำนวนมากจากธุรกิจอาหารเสริมของบริษัท ดิ ไอคอน กรุ๊ป ซึ่งทาง กัน จอมพลัง ก็มีคนร้องมาเยอะเช่นเดียวกัน ส่วนบอยมาวันนี้เพื่อต้องการแสดงความบริสุทธิ์พร้อมนำผู้เสียหาย 40 คน เข้ามาแจ้งความดำเนินคดี ส่วนกรณีถูกมองว่า รายการโหนกระแส เป็นการฟอกขาวให้แม่ข่ายนั้น ตนอยากบอกว่าการจะตกปลาใหญ่ต้องใช้ก้อนขนมปังหรือแม่ข่ายเพื่อไล่ขึ้นไปถึงระดับผู้บริหาร แต่หากสุดท้ายแม่ข่ายเหล่านี้มีความผิดก็จะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย และยินดีหาก บอสพอล จะมาออกรายการโหนกระแส ส่วนผู้เสียหายขอให้อุ่นใจและแจ้งความได้ที่สถานีตํารวจทั่วประเทศ เพราะ ผบ.ตร. สั่งการออกไปแล้วหากตํารวจไม่รับแจ้งจะผิด ม.157 ทันที
ด้าน บอย ปกรณ์เอง เปิดเผยว่า ตนมา 3 เรื่อง คือเป็นตัวกลางในการประสานผู้เสียหายเข้าแจ้งความ ซึ่งเป็นการประกาศจุดยืนอยู่ข้างผู้เสียหายเต็มตัว และเข้าให้ปากคําพร้อมกับยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รวมถึงจะลงบันทึกประจําวันเกี่ยวกับหนังสือยกเลิกสัญญาพรีเซนเตอร์ และจะแจ้งดําเนินคดีเอาผิดบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคล ที่ไม่ได้บอกข้อมูลที่แท้จริงทำให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดความเสียหาย ในความผิดฐาน ฉ้อโกง รวมถึงการนำรูปของตัวเองไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งส่วนตัวมองว่าถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือ
ขณะที่ กัน จอมพลัง ฝากถึงผู้เสียหายที่ถูกข่มขู่ห้ามแจ้งความดําเนินคดีว่า ให้แจ้งข้อมูลมาที่ตนและไม่ต้องกลัวถูกฟ้องกลับ ซึ่งทาง หนุ่ม กรรชัย กล่าวเพิ่มถึงประเด็นคลิปเสียงปริศนาที่อ้างว่าเป็นเสียงของ บอสพอล พูดคุยกับนักการเมืองลักษณะช่วยเหลือคดี ว่า จริงเท็จอย่างไรอยากให้ บอสพอล ออกมาชี้แจง แต่ส่วนตัวเชื่อว่าคดีใหญ่ลักษณะนี้ไม่สามารถเคลียร์ได้เพราะ ไม่ใช่ธานอส ที่ดีดนิ้วแล้วเรื่องจบ
ต่อมาเมื่อเวลา 10.40 น. นายแทนคุณ จิตต์อิสระ หรือ อี้ แทนคุณ ประธานชมรมสันติประชาธรรม และ น.ส.ชลิดา พะละมาตย์ หรือต้นอ้อเป็นหนึ่ง ได้พาผู้เสียหาย 40 ราย เดินทางเข้าแจ้งความเอาผิดบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป โดย นายแทนคุณ กล่าวว่า ขณะนี้รวมผู้เสียหายจากทางตนได้กว่า 1,000 รายแล้ว โดยวันนี้พามา 40 รายเพื่อเข้าแจ้งความ ซึ่งความเสียหายหลักๆมาจากการถูกหลอกให้ลงทุน ซึ่งมีผู้เสียหายบางรายที่เป็นแม่บ้านทำงานได้เงินวันละ 300 บาท ใช้เงินเก็บ 200,000 บาท ที่เก็บมา 19 ปี ไปร่วมลงทุนแต่กลับไม่สามารถทำเงินได้ จึงคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย ต้องกินยาแก้เครียด
นายณัฐนันท์ อายุ 43 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ที่ผ่านมาตนสู้เรื่องนี้มาตลอด ถึงขั้นไปถึงบริษัทดิไอคอน เพื่อไปไลฟ์สด ต่อมาได้เดินทางไปแจ้งความที่สน. บางเขน แต่ด้วยพยานหลักฐานไม่ชัดเจนตำรวจแจ้งให้ตนไปหาข้อมูลมาเพิ่ม ตนจึงจะขอแค่ลงบันทึกประจำวัน แต่ตำรวจก็ไม่รับทำ ตนเสียเงินลงทุนไป 1 ล้านบาท โดยตนรู้ข้อมูลรายละเอียดมากกว่าคนอื่นในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถเปิดเผยตรงนี้ได้ และสำหรับประเด็นที่ตำรวจได้ค้นบ้านตนที่จ.เชียงราย ตามที่มีการเผยแพร่ภาพผ่านโซเชียลนั้น ทางตำรวจไปค้นหาอาวุธ เนื่องจากตนเคยมีการโพสต์เป็นการปะทะคารมณ์ กับทางบริษัท แต่หลังจากนั้นตนก็ได้มีการเข้าไปพบกับทางตำรวจเพื่อไปนั่งคุยเจรจา เจ้าหน้าที่ได้ทำการตักเตือนเกี่ยวกับการโพสต์คลิปวิดีโอหรือข้อความข่มขู่ และแนะนำให้ตนไปใช้สิทธิ์ดำเนินคดีกับบริษัทดังกล่าว นอกจากนี้ตนยังได้พบรูปหน้าของตัวเองไปแปะอยู่ที่หน้าทางเข้า-ออกบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ทำให้ตนถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายไปโดยปริยาย
ขณะที่ น.ส.ชลิดา กล่าวว่า ฝากถึงสถานีตำรวจในพื้นที่ต่างจังหวัดว่าให้รับแจ้งความผู้เสียหายด้วย เพราะมีผู้เสียหายหลายรายติดต่อกับตนมาว่าทางสภ.ไม่รับแจ้งความและไล่ให้ผู้เสียหายมาแจ้งที่บก.ปคบ. ซึ่งขณะมีผู้เสียหายที่ลงทะเบียนในระบบมูลนิธิเป็นหนึ่งมีจำนวน 300 คน ความเสียหายประมาณ 150 ล้านบาท