มส.ผส. เปิดผลงานวิจัยล่าสุด เผยภัยแล้งบีบชีวิต เกษตรสูงวัยใกล้ล่มสลาย หากไม่เตรียมพร้อมการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้น หนุนเสริมศักยภาพ และสร้างเครือข่ายร่วมมือบริหารจัดการความเปราะบางในครัวเรือน-ชุมชน เสริมสร้างกลไกระดับท้องถิ่น เพิ่มประสิทธิภาพการเตือนภัย ป้องกันความเสี่ยงและผลกระทบ เพื่อคุณภาพชีวิตกลุ่มเกษตรกรสูงวัย
ผู้สูงอายุเป็นประชากรส่วนใหญ่ของภาคเกษตรกรรมไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับปัญหาภัยแล้งที่รุนแรงยิ่งขึ้นทุกปี ไม่เพียงกระทบต่อผลผลิตและเศรษฐกิจในภาพรวม แต่ยังก่อให้เกิดความเปราะบางทางด้านคุณภาพชีวิตของกลุ่มเกษตรกรสูงวัย งานวิจัยล่าสุดจากมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุไทย ร่วมกับสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เปิดเผยผลการศึกษาว่า ภาคการเกษตรในไทยกำลังเผชิญวิกฤตที่อาจส่งผลถึงการล่มสลายของทั้งระบบ หากไม่มีการเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงขึ้น
ดร.วัชระ เพชรดิน หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง "การศึกษาความเปราะบางและกลยุทธ์การรับมือต่อภัยแล้งของเกษตรกรสูงวัย" ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์และความสำคัญ ของความเปราะบางที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มเกษตรกรสูงวัยในสภาวะที่สภาพภูมิอากาศมีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภัยแล้งที่เกิดขึ้นซ้ำเป็นประจำและมีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกปี โดยจากข้อมูลสถิติของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2565 พบว่าเกษตรกรสูงวัยในไทยมีจำนวนมากถึง 2.84 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 59.2 ของผู้สูงอายุทั้งหมดที่ยังคงทำงานอยู่ในระบบเศรษฐกิจ และในปี 2566 ที่ผ่านมา ภาคการเกษตรของไทยได้รับความเสียหายจากฝนทิ้งช่วงและภัยแล้งมูลค่ากว่า 460 ล้านบาท ส่งผลกระทบต่อพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 2.8 แสนไร่ และเกษตรกรมากกว่า 25,000 ราย โดยภัยแล้งในครั้งนี้เป็นภัยที่รุนแรงมากกว่าภัยน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในปีเดียวกันเกือบสองเท่า สถิตินี้ชี้ให้เห็นถึงความรุนแรงของผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง
ผลการศึกษาจะนำไปสู่การแก้ไขอะไร
จากผลการวิจัย คณะผู้วิจัยได้พัฒนาชุดข้อมูลสำคัญที่สามารถนำไปใช้ในการวิเคราะห์ความเปราะบางของเกษตรกรสูงวัยในหลายมิติ ประกอบไปด้วย ด้านเศรษฐกิจ ด้านสุขภาพ ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม และด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีการพัฒนาตัวชี้วัดที่สามารถใช้ประเมินและวางแผนกลยุทธ์การรับมือกับภัยพิบัติในอนาคต การศึกษาไม่เพียงแค่วัดระดับความเปราะบางของเกษตรกรในปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นไปที่การสร้างความยืดหยุ่น (resilience) ให้แก่เกษตรกรสูงวัย เพื่อให้สามารถรับมือกับภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการเพิ่มโอกาสในการป้องกันความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้
ทั้งนี้ ความเปราะบางในกลุ่มเกษตรกรสูงวัย ด้านเศรษฐกิจ พบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตกอยู่ในภาวะความเปราะบาง ได้แก่ ความสามารถในการปรับตัว (Adaptive Capacity) ที่มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการต้นทุนและกระบวนการรับมือกับภัยธรรมชาติ ที่เกษตรกรสูงวัยจะมีข้อจำกัดในด้านการเรียนรู้สิ่งใหม่ และมักจะยึดติดกับวิถีการเกษตรแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญต่อการดำเนินนโยบายของภาครัฐต่อการนำนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีใหม่เข้าไปแก้ไขปัญหา ด้านสุขภาพ เกษตรกรสูงวัยมีความเสี่ยงต่อสภาวะสุขภาพที่ถดถอย เนื่องจากการทำงานหนักในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อสุขภาพ ด้านความสัมพันธ์ทางสังคม มีความเปราะบาง ทั้งในระดับครัวเรือนและชุมชน โดยพบว่ามีแนวโน้มเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กันน้อยลง ทั้งพ่อแม่-ลูก และ ครัวเรือน-เพื่อนบ้าน-ชุมชน ซึ่งได้รับอิทธิพลจากวิถีปฏิบัติ (Norms) ในภาคการเกษตรที่เปลี่ยนไปตามการพัฒนาของโลก และ ด้านสิ่งแวดล้อม ภาคการเกษตรของไทยยังคงต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วม และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งเกษตรกรสูงวัยมักไม่มีทรัพยากรในการปรับตัวหรือป้องกันภัยพิบัติเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ
กลยุทธ์การรับมือกับภัยพิบัติสำหรับเกษตรกรสูงวัยควรทำอย่างไร
ผลการศึกษาวิจัยชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อนของความเปราะบางที่เกิดขึ้นในกลุ่มเกษตรกรสูงวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการฟื้นตัวของเกษตรกรสูงวัยที่มีข้อจำกัดทั้งด้านร่างกายและทรัพยากร แนวทางที่สำคัญที่ค้นพบในงานวิจัยเพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คือ การยกระดับความสามารถในการฟื้นตัว (Resilience) สู่การปรับตัวอย่างยืดหยุ่น (Affective Adaptation) โดยมีแนวทางที่สำคัญ ได้แก่ 1. การส่งเสริมการเข้ามามีบทบาทของเกษตรกรรุ่นใหม่ในการบริหารจัดการความเปราะบางในครัวเรือนและชุมชน ความท้าทายที่เกษตรกรสูงอายุเผชิญเมื่อมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการเกษตร โดยมีหลายแง่มุมที่ต้องพิจารณา ทั้งการเปิดรับเทคโนโลยี ที่ต้องปรับตัว เรียนรู้และปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน ความเสี่ยงและค่าจ่ายในการลงทุนในระดับสูง จากการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ อาจเป็นภาระต่อเกษตรกรสูงอายุที่มีรายได้จำกัด และมีความเสี่ยงทางการเงินลงทุนไม่ให้ผลตอบแทนตามที่คาดหวัง
2. การเสริมสร้างกลไกระดับท้องถิ่นในการรับมือกับภัยแล้ง การช่วยเหลือด้านภัยแล้ง หน่วยงานภาครัฐ เช่น ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) จำเป็นต้องมีกลไกที่ทำงานในระดับอำเภอ เพื่อให้สามารถประสานงานกับหน่วยงานท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อบต.) และอาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3.การเพิ่มประสิทธิภาพการเตือนภัยล่วงหน้าเกษตรกรสูงวัยเป็นกลุ่มที่มีข้อจำกัดในการเข้าใจเนื้อหาที่ซับซ้อน ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา ควรพิจารณาการจัดรูปแบบการสื่อสารที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของผู้สูงอายุในชนบท 4.การเพิ่มองค์ความรู้ด้านการจัดการน้ำ ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งของการจัดการภัยแล้ง 5.การส่งเสริมสุขภาวะและความพร้อมด้านสุขภาพ การรับมือกับภัยพิบัติไม่สามารถเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเกษตรกรมีปัญหาสุขภาพ ซึ่งการเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรงเป็นเรื่องสำคัญ เกษตรกรสูงวัยควรได้รับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเบื้องต้น การส่งเสริมให้มีการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เกษตรกรสามารถรับมือกับภัยพิบัติและฟื้นฟูจากความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว
การศึกษาเรื่องความเปราะบางและกลยุทธ์การรับมือกับภัยพิบัติในกลุ่มเกษตรกรสูงวัยถือเป็นก้าวสำคัญในการวางแผนพัฒนานโยบายของประเทศ งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่า ภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นกำลังสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อเกษตรกร โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่มีข้อจำกัดทั้งด้านทุนทรัพยากรและศักยภาพในการปรับตัว จึงจำเป็นต้องหนุนเสริมศักยภาพเกษตรกรสูงวัย และสร้างเครือข่ายความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม หรือภาคประชาชน หากไม่มีการดำเนินการเพื่อเสริมสร้างกลยุทธ์การรับมืออย่างเร่งด่วน ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับวิกฤตการเกษตรที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้ในอนาคต