วันที่ 12 ต.ค.67-นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย  ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol ระบุว่า  

สถานการณ์โคลนท่วมภาคเหนือ
โดย สิริอัญญา 
วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2567

คนไทยเราถนัดปากแต่คำว่าน้ำท่วม จึงเรียกกรณีน้ำท่วมภาคเหนือในปัจจุบันนี้ว่าเป็นน้ำท่วม ทั้งที่ความจริงที่เกิดขึ้นเกินพ้นออกไปจากเรื่องน้ำท่วมแล้ว และกำลังก่อเกิดหายนะใหญ่หลวงชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นแก่พี่น้องภาคเหนือมาก่อนเลย นั่นคือสถานการณ์โคลนท่วม 

ดังนั้นถ้าใครคิดแต่จะแก้ปัญหาน้ำท่วม หรือช่วยเหลือน้ำท่วม ก็จะไม่มีวันแก้ไขทุกข์ร้อนของพี่น้องภาคเหนือได้เลย เพราะการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและช่วยเหลือน้ำท่วมนั้นไม่สามารถแก้ไขปัญหากรณีโคลนท่วมได้ 

กรณีน้ำท่วมที่ผ่านมาเป็นเรื่องน้ำท่วม คือเมื่อน้ำท่วมแล้วแห้งเหือดไป ก็เป็นเรื่องที่ต้องซ่อมบำรุงความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมนั้น การกำหนดมาตรการช่วยเหลือฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนจึงอาศัยเหตุของน้ำท่วม แต่เมื่อบัดนี้กรณีไม่ใช่น้ำท่วมแต่เป็นโคลนท่วม หากใช้วิธีแก้ไขน้ำท่วมหรือเยียวยาเรื่องน้ำท่วมก็ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาได้ 

กรณีคราวนี้แตกต่างจากที่ผ่านมาทุกยุคทุกสมัย เพราะน้ำที่ท่วมมาครั้งนี้ไม่ได้มาเฉพาะน้ำ แต่มีโคลนที่เรียกว่าเป็นน้ำโคลนข้นไหลบ่าท่วมเข้ามาทั้งถนนหนทาง บ้านเรือน ดังนั้นน้ำโคลนท่วมไปถึงไหน จึงมีทั้งน้ำและโคลนท่วมไปถึงนั่น ความเสียหายจึงแตกต่างไปจากเรื่องน้ำท่วม 

เพราะเรื่องน้ำท่วมนั้นข้าวของก็แค่เปียกน้ำ บ้างผึ่งแดดตากก็หาย เมื่อน้ำลดแล้วก็หาย หรือถึงเสียหายเพราะน้ำก็ยังมีซากเหลือให้ได้ใช้ประโยชน์ และยังพอใช้การได้ เช่น ข้าวสารถูกน้ำท่วมเปียก เมื่อน้ำผ่านไปแล้วถ้าตากได้ทัน ข้าวสารนั้นก็ยังหุงกินได้ หรือถ้าตากไม่ทันเน่าเสียก็ยังใช้เป็นอาหารสัตว์ได้ 

บ้านเรือนที่ถูกน้ำท่วม เมื่อน้ำผ่านไปแล้วก็แห้งหายไปเป็นปกติ ถนนหนทางก็เช่นเดียวกัน คูคลองก็เหมือนกัน เมื่อน้ำผ่านไปแล้วก็เป็นคูคลองตามเดิม 

แต่มาครั้งนี้เป็นกรณีโคลนท่วมและเป็นน้ำโคลนข้น ซึ่งหมายความว่าน้ำที่ไหลบ่าท่วมมานั้นไม่ได้มีแต่น้ำ แต่มีดินโคลนปนมากับน้ำ และมีปริมาณดินโคลนมาก จึงกลายเป็นน้ำโคลนข้น 

น้ำโคลนข้นเมื่อท่วมข้าวสารก็เสีย ใช้กินต่อไปไม่ได้เพราะเป็นข้าวสารเปื้อนโคลน ท่วมข้าวของในบ้านก็จะเปรอะเปื้อนโคลน จะต้องล้างโคลนออกให้ทันท่วงที เพราะยิ่งนานไปเท่าใดโคลนก็จะยิ่งแห้งเกาะติดข้าวของจนล้างไม่ออก 

ขณะนี้บ้านช่องจำนวนมากมีน้ำโคลนข้นท่วมเข้ามาค่อนบ้าน พอน้ำผ่านไปแล้วกลับเหลือโคลนอยู่ครึ่งบ้าน ตอนน้ำผ่านใหม่ ๆ ก็ยังเป็นโคลนเหลว ใช้รถดับเพลิงฉีดน้ำล้างก็ยังพอได้ แต่ทว่ารถดับเพลิงมีไม่พอ ใช้รถฉีดน้ำอย่างอื่นก็ไม่พอ โชคดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานจัดรถฉีดน้ำไปช่วยเหลือราษฎรก็พอบรรเทาเบาบางได้มาก 

แต่ส่วนที่ช่วยเหลือไม่ทัน พอนานวันไปโคลนเหลวก็จะกลายเป็นโคลนหมาด ๆ แค่ใช้จอบใช้เสียมโกยออกไปก็ได้ แต่พอนานอีกหน่อยก็จะกลายเป็นโคลนข้นแห้งเกรอะกรัง ต้องใช้จอบใช้เสียมขุดออกไป พอนานออกไปอีกก็จะกลายเป็นโคลนแห้งและเป็นดินแข็ง จะต้องใช้จอบขุดออกไป เมื่อมีปริมาณมากใช้จอบขุดก็ไม่ไหว ต้องใช้รถแทรกเตอร์มาขุดลอกออกไป ซึ่งเป็นเรื่องน่าเวทนาและเสี่ยงต่อความเสียหายเพิ่มขึ้นไปอีก  

เพราะรถแทรกเตอร์นั้นมีขนาดใหญ่ อาจกระทบเข้ากับฝาบ้าน เพดานบ้าน ให้พังทลายลงมาได้โดยง่าย และยิ่งนานออกไปโคลนนั้นก็จะกลายเป็นดินแห้งเกาะเต็มทั้งบ้าน เข้าออกบ้านก็ไม่ได้ รถจอดก็ไม่ได้ รถที่โคลนท่วมอยู่ก็แข็งตัว นำรถออกไปซ่อมบำรุงไม่ได้ ก็จะเกิดความเสียหายมากขึ้น 

สภาพเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย ดังนั้นการคิดอ่านแก้ไขบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องใหม่ที่ต้องใช้เวลาให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งนานออกไปเท่าใดความเสียหายก็ยิ่งมากขึ้นไปเท่านั้น กระทั่งปัจจุบันนี้ข่าวคราวทั้งหลายที่สื่อมวลชนรายงานในแต่ละวันก็มีความชัดเจนว่าแต่ละตำบลหมู่บ้านไม่มีกำลังพอที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้ แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดจะเอาใจใส่ทั้งจังหวัดให้ทันท่วงที 

ดังนั้นจึงเป็นภาระของทหาร และต้องใช้กำลังระดับกองทัพภาคทุกเหล่าทัพ และอาจต้องระดมจากทั้งประเทศเร่งรีบเข้าไปช่วยเหลือโดยด่วน จึงพอจะบรรเทาเบาบางลงไปได้ 

แต่มาถึงวันนี้เท่าที่ติดตามข่าวสารทั้งหลายก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะมีการบริหารจัดการปัญหาเยียวยาโคลนท่วมเลย 

ยังคงพูดจากันแต่เรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วม อย่างมากก็พูดถึงมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจเช่นการพักหนี้ การยืดเวลาชำระหนี้ ซึ่งเป็นคนละปัญหา และเป็นเรื่องบ้องตื้น แต่ก็ว่ากันไม่ได้เพราะล้วนแต่เป็นรัฐมนตรีมือใหม่หัดขับทั้งนั้น บ้านเมืองของเราจึงอยู่ในสภาพดังที่เป็นอยู่ 

ดังนั้นจึงได้แต่หวังว่าบทความวันนี้จะได้เตือนสติหรือสะกิดใจผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ให้ได้ตระหนักเพิ่มเติมว่ากรณีที่เกิดขึ้นในภาคเหนือไม่ใช่ปัญหาน้ำท่วม 

แต่เป็นปัญหาโคลนท่วม ซึ่งมีเรื่องที่เกี่ยวข้องมากมายดังที่ได้พรรณนามาข้างต้นนี้และเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ไม่เคยเผชิญหน้ามาก่อน ดังนั้นควรจะถือเป็นเรื่องพิเศษที่ต้องเร่งรีบบริหารจัดการช่วยเหลือแก้ไขให้ทันท่วงทีโดยด่วนที่สุด 

แม้เป็นโชเฟอร์หัดขับ แต่เมื่อรับหน้าที่เข้ามาเป็นโชเฟอร์แล้วก็ต้องสวมจิตวิญญาณของโชเฟอร์ผู้ที่มีความสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่และความปลอดภัยของผู้โดยสาร ในการนำพาผู้โดยสารไปถึงที่หมายปลายทางด้วยความสวัสดี 

ก็บอกกันได้แค่นี้แหละ.