วันที่ 10 ต.ค.2567 ที่รัฐสภา นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การทหาร สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุม กมธ.ฯ กรณีเรียกกองทัพเรือ(ทร.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าชี้แจง จากเหตุพลทหารศิริวัฒน์ ใจดี เสียชีวิตระหว่างการฝึกภายในค่ายสัตหีบ จ.ชลบุรีว่า ทางทร. โดยฝ่ายสารวัตรทหารเรือ ได้ส่งรายงานการสอบปากคำพยานในเหตุการณ์มายังกมธ.ฯจำนวน1ฉบับ แต่กมธ.ฯมีข้อสังเกตในเรื่องข้อมูลหลายอย่างที่ยังไม่ตรงกัน รายงานฯที่ทางทร.ส่งมาให้ยังไม่สมเหตุสมผล เช่น อาการ สาเหตุ หรือเหตุการณ์การเสียชีวิตที่เกิดขึ้น มีการระบุว่าเป็นการฝึกที่ไม่หนัก ตัวพลทหารที่เสียชีวิต ได้พักตอนช่วงเย็น แล้วทางครูฝึกสะกิดด้วยการเตะไปที่ขาจำนวน2ครั้ง ตบไปที่หน้า1ครั้ง ก่อนที่จะแบกไปรับประทานอาหาร
ตามรายงานของทร.ระบุว่าในช่วงที่แบกไปรับประทานอาหาร พลทหารมีอาการชักตามแขนขาจนควบคุมไม่ได้แล้ว จากนั้นได้พาไปรับประทานอาหาร ทั้งที่มีอาการอยู่ แล้วทิ้งอาการไว้ประมาณ1ชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาเช็คอาการ พบว่าไม่ดีขึ้นจึงค่อยนำส่งไปโรงพยาบาล
“ตรงนี้ทำให้กมธ.ฯตั้งข้อสงสัยมากมายว่าทางกองทัพเรือมีขั้นตอนการเช็คอาการของพลทหารอย่างไรบ้าง หากมีอาการชักเราคงไม่เช็คอาการด้วยการเตะที่ขา หรือตบที่หน้า และเราคงไม่ทิ้งให้เขาชักเป็นชั่วโมง รวมถึงไม่พาคนที่ชักไปกินข้าวด้วยกัน ขณะเดียวกันจากการให้ปากคำของญาติผู้เสียชีวิต ไม่ตรงกับรายงานของกองทัพเรือหลายประการ เช่น สาเหตุการเสียชีวิต ญาติแทบไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตเลย จนเรื่องเริ่มเป็นข่าวภายหลังถึงได้มีการชี้แจงจากกองทัพเรือ และได้ทราบข้อมูลบางส่วนว่าผู้เสียชีวิตมีอาการระบบทางเดินหายใจ และระบบทางเดินโลหิตล้มเหลว แต่ทราบจากญาติด้วยว่าผู้เสียชีวิตซี่โครงซี่ที่3และซี่ที่4หัก
ทางญาติตั้งข้อสังเกตว่าหากเกิดจากการปฐมพยาบาลด้วยการปั๊มหัวใจ ซี่โครงซี่ที่3 และ 4ไม่น่าหักได้ มันน่าจะหักที่บริเวณซี่ที่1และ2 เพราะการปั๊มหัวใจอยู่ที่บริเวณลิ้นปี่ไม่น่าไปหักต่ำกว่านั้นได้ จึงเป็นข้อสังเกตว่าได้มีการซ้อมพลทหารจนนำมาสู่การเสียชีวิตหรือไม่ ซึ่งในเรื่องซี่โครงหักไม่ได้อยู่ในรายงานของกองทัพเรือ” นายชยพล กล่าว
นายชยพล กล่าวด้วยว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันที่2ก.ค.ที่ผ่านมา เป็นเวลาเกือบ1เดือนถึงจะย้ายครูฝึกที่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่ ตนขอตั้งข้อสังเกตว่าในห้วง1เดือนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทราบจากญาติผู้เสียชีวิตว่า มีการพูดคุยเนื้อเรื่องให้ตรงกันว่าพอคุยกับคณะกรรมการสอบสวนจะให้ตอบว่าอย่างไรบ้าง กมธ.ฯจึงคาดหวังความโปร่งใส จริงใจ และจริงจังจากทางกองทัพเรือมากกว่านี้ เพราะเราพูดคุยกับกองทัพมานานแล้วเกี่ยวกับหลักสิทธิมนุษยชน การทำร้ายร่างกายพลทหาร หรือทหารระดับชั้นยศใดก็ตาม เป็นเรื่องซีเรียส จริงจังมาก หากเราต้องการนำไปสู่การสมัครทหารโดยสมัครใจไม่บังคับ การดูแลกำลังพลให้ดีเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนอยากเข้ามาเป็นทหาร แต่ถ้าดูแลไม่ดี หรือละเมิดสิทธิ ไม่มีทางที่ใครอยากจะเข้ามาเป็นกองทัพ
ด้านนายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคประชาชน ในฐานะโฆษกกมธ.ฯ กล่าวว่า รายงานดังกล่าวของกองทัพเรือไม่น่าเชื่อถือ มีความย้อนแย้ง และเพิ่งจะทำขึ้นมาด้วยซ้ำ ผู้เสียชีวิต1คนมีการชี้แจงแค่3แผ่น เพื่อที่จะบอกกับกมธ.ฯว่าไม่ทราบสาเหตุของการเสียชีวิต เพียงแต่บอกว่าระบบทางเดินหายใจ และระบบโลหิตล้มเหลว เป็นการนำผลชันสูตรมาชี้แจง ตนคิดว่ากองทัพเรือไม่มีความรับผิดชอบ ส่งคนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์มาชี้แจง
ทั้งๆที่พื้นที่ที่เกิดเหตุมีผู้เกี่ยวข้องมากมาย ทางผบ.ค่ายเดินทางไปจ.สงขลาเพื่อนำเงินไปเยียวยาครอบครัวได้ แต่บอกเขาไม่ได้ว่าจะมีการสอบสวน ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ไม่มีใครบอกครอบครัวผู้เสียชีวิตได้ จริงๆแล้วตนทราบเรื่องนี้จากครบครัวผู้เสียชีวิตมาเป็นเดือนแล้ว แต่ไม่สามารถนำเรื่องเข้าสู่กมธ.ฯได้เพราะไม่มีผู้เสียหาย เพราะครอบครัวเขาไม่รู้เรื่องว่าผู้เสียชีวิตเสียชีวิตอย่างไร เขานึกว่าเป็นลม จนได้เพื่อนทหารของผู้เสียชีวิตให้ข้อมูลถึงดำเนินการได้
“ผมกลัวว่าทางกองทัพเรือจะเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญามาตรา189ที่ร่วมกันปกปิดไม่ให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ ทางผบ.ค่ายก็ไม่ได้มาชี้แจงเอง ทางครอบครัวผู้เสียชีวิตเคยโทรไปถามทางกองทัพเรือ ทางกองทัพเรือก็บอกว่าอย่าไปเชื่อข่าว เพราะคนที่ให้ข่าวคือผู้สมัครสส.พรรคก้าวไกล และคนแบบนี้เกลียดทหาร ทั้งๆที่ยังไม่มีการสอบสวน ดูผลการชันสูตรด้วยซ้ำ ก็สรุปไปแล้ว จากเหตุการณ์ตามรายงานของกองทัพเรือ มันเพียงพอที่จะสรุปว่าทำไมถึงเสียชีวิต ไม่ใช่มาตั้งคณะกรรมการสอบปากคำทหารทั้ง156คน
วันนี้ผ่านไปเกือบ4เดือน เพิ่งสอบปากคำทหารไปเพียง55คน เท่ากับว่าต้องใช้เวลาอีกเกือบปีกว่าสอบครบ สิ่งที่กองทัพเรือควรต้องทำคือ ควรนำคนที่ตัดสินใจได้ และให้ความมั่นใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิตว่าจะให้ความมั่นใจกับเขาได้ ไม่ใช่บอกว่าไม่รู้ไม่เห็น ต้องรอตั้งกรรมการก่อนแล้วค่อยชี้แจง แบบนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่ดีของผู้บังคับบัญชา” นายจิรัฏฐ์ กล่าว