หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ยืนหยัดฟันฝ่า ทุกอุปสรรค ทุ่มเท ทำงานรับใช้สังคม นำเสนอความจริง ผลงานก้าวสู่ปีที่ 74 เป็นเครื่องพิสูจน์ ...*...

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไปทรงเปิดงานวิชาการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 17 พ.ศ. 2567 จัดโดย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข วันจันทร์ที่ 7 ต.ค. 67 เวลา  15.00 น. ณ ห้อง แกรนด์ บอลรูม โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ...*...

งานนี้ต้องเอาใจช่วย ขอให้ “นายกฯอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ให้เอาจริงเอาจัง แก้ปัญหาความปลอดภัยทางถนน สืบเนื่องมาจากเหตุ “โศกนาฏกรรม” ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 67 ที่ผ่านมา ส่งผลให้สูญเสีย “23 ชีวิต” ทั้งครูและเด็กนักเรียน สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับครอบครัวผู้สูญเสีย ตลอดจนผู้คนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นายกฯอิ๊งค์” ที่เข้าใจหัวอกคนเป็นแม่จนกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ...*...

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้มีคำถามตามมา มากมายว่า “ใคร” ต้องรับผิดชอบบ้าง ?นอกเหนือไปจาก “คนขับรถ” และ “เจ้าของ” บริษัทรถบัสที่เกิดเหตุ  การฝ่าฝืนข้อกำหนดและมาตรฐานความปลอดภัย ทำไม “ผู้ประกอบการ” จึงไม่เกรงกลัวกฎหมาย ละเลยต่อ “ความเสียหาย” และ “ความสูญเสีย” ที่รออยู่ข้างหน้าได้ เมื่อชั่งน้ำหนักกับ “ผลประโยชน์” ที่จะได้จากการดัดแปลงเอาถังแก๊ซใส่เข้าไปเพิ่มถึง 11 ถัง ทั้งที่ทำแจ้งจดทะเบียนเอาไว้เพียง 6 ถัง ...*...

มีข้อมูลจาก “สุเมธ องกิตติกุล” ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายการขนส่ง และโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยถึงมาตรฐานความปลอดภัยของรถทัศนาจร หรือรถรับจ้างไม่ประจำทางใน ปัจจุบันรถทัศนาจรในกลุ่มมาตรฐาน 1 ซึ่งเป็นประเภทเดียวกับรถคันที่เกิดเหตุ มี 5,896 คัน และรถมาตรฐาน 4 หรือรถ 2 ชั้น มี 4,972 คน “จากการตรวจสอบพบว่าในจำนวนทั้งหมดกว่า 1 หมื่นคัน มีเพียง 5% เท่านั้นที่ผ่านมาตรฐานด้านการลุกไหม้ และอนุมานได้ว่า ส่วนที่เหลืออีก 95% ที่เป็นรถจดทะเบียนก่อนประกาศดังกล่าวบังคับใช้  ยังไม่ถูกกำหนดให้มีมาตรฐานนี้ ขณะที่ในต่างประเทศเวลากำหนดมาตรฐานในเรื่องเหล่านี้จะให้มีผลบังคับใช้ย้อนหลังด้วย และต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 ปี” ...*...

จากข้อมูลดังกล่าว กำลังชี้ให้เห็นว่า กรณีรถบัสคันที่เกิดเหตุนี้ เป็นเพียงหนึ่งในจำนวนมาก ของรถบัสที่ไม่ได้มาตรฐาน และอาจเกิดเหตุสลดขึ้นอีกทุกเมื่อไม่ต่างจาก “ระเบิดเวลา” ที่วิ่งกันอยู่บนท้องถนน สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ คือ “ปลายเหตุ” ทั้งสิ้น ดังนั้นหากจะแก้ที่ “ต้นเหตุ” กันอย่างจริงจังแล้ว บางครั้งคนที่ถือกฎหมาย บังคับใช้กฎหมาย จะต้องเข้มงวดกันมากแค่ไหน ประเด็นปัญหาวันนี้ ชีวิตผู้คนในสังคมยังแขวนอยู่บนความสุ่มเสี่ยงบนท้องถนนอีกมาก ทั้งจากรถโดยสารประจำทาง รวมทั้งอุบัติภัยจากการโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดเป็นข่าวซ้ำซาก ...*...

หลังการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ แต่ส่วนใหญ่ยังเป็น “เหล้าเก่า” ภายใต้การนำของ “นายกฯอิ๊งค์”  ผ่านพ้นไปยังไม่ทันครบ 3เดือน แต่ปรากฏว่า “มรสุม” กำลังรุมเร้าอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะที่ร่ำๆว่าจะมาก่อนเวลา คือปฏิบัติการเปิดแนวรบ “นอกสภาฯ”  โดย “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ปลุกคนเตรียมลงถนน เดินหน้าคัดค้านโครงการชิ้นโบว์แดง อย่าง “แลนด์บริจด์” การให้เช่นที่ดินประเทศไทย 99 ปี ...*...

งานนี้ “จตุพร” ซึ่งเคยเป็น “ลูกน้องเก่า” ของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ดักคอเอาไว้ก่อนว่า วันนี้ยังไม่ได้ร่วมมือกับ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ “ศัตรูหมายเลข1” ของทักษิณ และยังไม่เคยได้เจอกัน แต่บรรทัดสุดท้ายยังทิ้งบอมบ์เอาไว้ด้วยว่า “แต่ถ้ากวนมากๆ จะเดินไปหาชวนพล.อ.ประวิตรด้วย”  ว่าไปถึงขนาดนั้น จะเรียกว่า “ขู่” ไปถึง “นายเก่า” ก็คงไม่ผิดนัก แต่ที่แน่ๆ จากนี้ไปเป็นไปได้ว่า การรวมพล “คนเคยรักทักษิณ” จะเริ่มออกฤทธิ์ มากขึ้น ! ...*...

ที่มา:พันแสง (07/10/67)