คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์ เศรษฐช่วย
การแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ขณะนี้ยังคงเหลือเวลาอีกแค่เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ฉะนั้นเดือนตุลาคมนี้ถือเป็นโค้งสุดท้ายที่ทั้ง “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” และ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” ต่างก็ตั้งหน้าตั้งตาออกตระเวนวิ่งรอกหาเสียงใน 7 รัฐสวิงที่เป็นรัฐชี้ขาดการเลือกตั้ง
เนื่องจากขณะนี้คะแนนนิยมในเจ็ดรัฐสวิง รองประธานาธิบดีแฮร์ริสกำลังนำอยู่ 4 รัฐ นั่นก็คือ รัฐมิชิแกน รัฐมินเนสโซตา รัฐเพนซิลเวเนีย และรัฐเนวาด้า แต่ทว่าการแข่งขันที่รัฐจอร์เจีย รัฐนอร์ท แคโรไลนา และ รัฐแอริโซนา เธอยังคงมีคะแนนสูสีคู่คี่กันกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์!!!
เพราะฉะนั้นเธอจึงเพียรพยายามทุกๆวิถีทาง เพื่อที่จะเอาชนะในรัฐสวิงทั้งเจ็ดนี้ มองๆไปแล้วโอกาสที่เธอจะทำคะแนนอิเล็กโทรัลได้ครบ 270 คะแนนที่จะเข้าสู่หลักชัยก็มีอยู่ค่อนข้างสูง
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าขณะนี้คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ค่อยๆทิ้งห่างจากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง เช่น ผลการหยั่งเสียงของ “สำนักข่าวรอยเตอร์ส” ที่ออกมารายงานครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2024 ว่า รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กำลังมีคะแนนนำเหนือกว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์อยู่ที่ 7% นั่นก็คือ 47% ต่อ 40%
ยิ่งไปกว่านั้น “สำนักหยั่งเสียง Echelon Insights” ซึ่งเป็นพวกเดียวที่สนิทชิดเชื้อกับกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มาเป็นอย่างดี แต่เมื่อวันศุกร์ที่ 27 กันยายน 2024 ที่ผ่านมา สำนักหยั่งเสียงแห่งนี้ได้ออกมารายงานว่า รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส กำลังมีคะแนนนำอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ไปแล้วที่ 7% ซึ่งนั่นก็คือ 52% ต่อ 45%
และจากผลการหยั่งเสียงประจำวันของโพล “FivethirtyEight” ที่ได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างสูงและมีความแม่นยำด้านการทำนายการเลือกตั้ง ก็ได้ออกมาเปิดเผยครั้งล่าสุดนี้ว่า โอกาสของรองประธานาธิบดีแฮร์ริสจะได้รับชัยชนะเหนือกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มีอยู่ที่ 58% ต่อ 42%
และเมื่อลองเปรียบเทียบข้อได้เปรียบทางด้านเม็ดเงินบริจาคของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ว่ามีเหนือกว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์มากเพียงใดนั้น ปรากฏออกมาอาทิเช่น ในเดือนสิงหาคม รองประธานาธิบดีแฮร์ริสได้รับเงินบริจาคมากกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ถึงสี่เท่าตัว โดยเธอได้รับถึง 189.6 ล้านดอลลาร์ แต่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้รับเงินบริจาคเพียงแค่ 44.5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น!!!
รวมทั้งขณะนี้ก็ยังมี “ประธานาธิบดีบารัก โอบามา” เข้ามาเป็นขุนพลร่วมทัพช่วยหาเงินบริจาคอีกด้วย โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขาสามารถหาเงินบริจาคให้เธอเพิ่มขึ้นอีกสี่ล้านเหรียญ แถมรองประธานาธิบดีแฮร์ริสก็ยังได้รับเงินบริจาคเพิ่มเติมในการจัดงานเลี้ยงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้นอีก 27 ล้านดอลลาร์ มีผลทำให้อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เกิดอาการหงุดหงิดจนเกิดอาการแพนิค เพราะกังวลกลัวว่า จะพ่ายแพ้การแข่งขันเลือกตั้งพบกับความผิดหวังอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนั้นแล้วอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ยังได้รับความกดดันเป็นอย่างหนักจาก “ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯทันยา ชุตกัน” ที่เธอมีคำสั่งให้ทีมกฎหมายของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ยื่นคำร้องคัดค้านที่ “อัยการพิเศษแจ็ค สมิธ” กำลังดำเนินการที่จะตั้งข้อหาใหม่ในคดีโค่นล้มการเลือกตั้งเมื่อปีค.ศ. 2020 โดยผู้พิพากษาชุตกัน ได้ขีดเส้นตายเอาไว้จนถึงแค่วันที่ 10 ตุลาคม 2024 นี้เท่านั้น
นักสังเกตการณ์ในคดีนี้ต่างก็ออกมาวิเคราะห์กันว่า อัยการพิเศษแจ็ค สมิธ อาจจะออกมาเปิดเผยหลักฐานใหม่ต่อหน้าสาธารณชน โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กับ “รองประธานาธิบดีไมค์ เพนซ์” ที่ประธานาธิบดีทรัมป์พยายายามกดดันไม่ให้เขารับรอง “โจ ไบเดน” เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ และหากมีเหตุการณ์เยี่ยงนี้เกิดขึ้นจริงๆ ก็ย่อมสร้างความเสียหายและภาพพจน์ด้านลบต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย
คราวนี้เราลองหันมาวิเคราะห์วิสัยทัศน์ของทั้งอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ และของ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส ในประเด็นสำคัญๆที่ชาวอเมริกันกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ เช่น ประเด็นเร่งด่วนที่รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส กำลังเผชิญกับความท้าทายในการที่เธอถูกอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหน่วง ที่มีสองประเด็นด้วยกัน นั่นก็คือ นโยบายด้านเศรษฐกิจ และประเด็นเกี่ยวกับผู้อพยพของชาวต่างด้าว
ทั้งนี้โพลต่างๆเล็งเห็นกันว่ารองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส คือฮีโร่ครองใจของคนชั้นกลาง ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ นั้นเป็นแชมป์เปียนของบรรดามหาเศรษฐีเงินถุงเงินถัง
เมื่อวันพุธสัปดาห์ก่อนหน้านี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ได้เสนอนโยบายแผนเศรษฐกิจ ณ รัฐเพนซิลเวเนีย ที่เคยเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมแทบทุกชนิด โดยผู้เข้าร่วมรับฟังมีระดับมหาเศรษฐีหลายๆคน อาทิเช่น “มาร์ก คิวบา” มหาเศรษฐีที่ออกมาสนับสนุนเธออย่างแข็งขัน
โดยรองประธานาธิบดีแฮร์ริสได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะปกป้องผลประโยชน์ของชนชั้นกลาง และรวมไปถึงจะสนับสนุนคนชั้นกรรมกร และจะเก็บภาษีกับธุรกิจใหญ่ๆ ที่มองๆไปแล้วนโยบายของเธอตรงกันข้ามกับนโยบายของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์โดยสิ้นเชิง เพราะเขาเสนอนโยบายต้องการที่จะลดหย่อนภาษีให้กับกลุ่มมหาเศรษฐีและธุรกิจยักษ์ใหญ่ทั้งหลายแหล่!!! โดยตอนหนึ่งของการกล่าวคำปราศรัยรองประธานาธิบดีแฮร์ริสกล่าวว่า “ต้องการจะรักษาความยิ่งใหญ่ระดับโลกทางด้านเศรษฐกิจที่สหรัฐอเมริกาครอบครองเอาไว้ให้จงได้”
สำหรับประเด็นด้านการทำแท้งนั้น เธอได้กล่าวย้ำว่า ต้องการที่จะให้เสรีภาพกับสตรีที่จะต้องตัดสินใจเอง เพราะถือเป็นสิทธิเสรีภาพของสตรีทุกๆคน แต่ในทางกลับกันปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการออกกฎหมายห้ามการทำแท้งทั่วประเทศ ที่ถือเป็นการกำจัดสิทธิของสตรี
สำหรับการเดินทางมาเยือนของ “ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี” ณ กรุงวอชิงตัน เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รองประธานาธิบดีแฮร์ริสก็ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า หากเธอได้รับชัยชนะเข้าสู่ทำเนียบขาว เธอจะดำเนินนโยบายต่อจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนและเธอยังได้กล่าวว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้สร้างความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ร่วมกับองค์การนาโตในการปกป้องยูเครนให้คงไว้ซึ่งการเป็นประเทศเอกราช
แต่ในทางกลับกันหลังจากที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ เข้าพบปะกับประธานาธิบดียูเครนปรากฏว่า เขากลับมิได้เอ่ยปากกล่าวเสนอนโยบายที่แน่นอนต่อทางออกของสงครามยูเครนแต่อย่างใดเลย
โดยต่อมาประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน ได้ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ว่า “จริงๆแล้วอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มิได้มีแผนการอะไรเกี่ยวกับสงครามยูเครนเลยแม้แต่น้อย”
อนึ่งในวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2024 ก็จะมีการดีเบตประชันฝีปากกันระหว่าง “วุฒิสมาชิกเจดี แวน” ที่ถูกวางตัวในตำแหน่งรองประธานาธิบดีของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กับ “ผู้ว่าฯทิม วอลซ์” ที่ถูกวางตัวในตำแหน่งรองประธานาธิบดีของรองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส
จากการดิเบตครั้งแรกที่ใช้เวลา 105 นาที ระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กับ รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส เมื่อวันที่ 10 กันยายน 2024 ที่ผ่านมาไม่นานนี้ ปรากฏว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์เป็นฝ่ายตั้งรับพูดจาอ้อมๆแอ้มๆอยู่ตลอดเวลา จนทำให้เขาต้องพบกับความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
เพราะฉะนั้นการดิเบตที่กำลังจะเกิดขึ้นระหว่างผู้ว่าฯ ทิม วอลซ์ ผู้ที่มีฝีปากคารมคมคายที่จะประลองฝีปากกับวุฒิสมาชิก เจดี แวน นักการเมืองขวาตกขอบที่มีอุดมการณ์ไปในทิศทางเดียวกันกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ คงจะเป็นการแข่งขันที่น่าติดตาม เพราะคงจะเต็มไปด้วยความเข้มข้นจนหยดสุดท้าย!!!
ทั้งนี้การที่“วุฒิสมาชิกเจดี แวน” ปั้นน้ำเป็นตัว กล่าวหาว่า ชาวเฮติหลายพันคน ที่พำนักอาศัยอยู่ที่เมืองสปริงฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ขโมยสัตว์เลี้ยงเช่นสุนัข และแมว เอาไปปรุงรับประทานเป็นอาหาร ทั้งๆที่ผู้ว่าฯรัฐโอไฮโอ และเทศมนตรีของเมืองสปริงฟีลด์ออกมาปฏิเสธว่า “ไม่เคยพบหลักฐานตามคำกล่าวอ้างของวุฒิสมาชิกเจดี แวน แต่อย่างใด” ซึ่งเรื่องนี้ก็คงจะถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวในการดีเบตอย่างแน่นอน
กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเส้นทางสู่ทำเนียบขาวของ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส”กำลังเผชิญกับอุปสรรคอย่างมากมายมหาศาลในโค้งสุดท้ายอยู่ก็ตาม แต่เนื่องจากเธอเป็นนักต่อสู้ เป็นนักคิด เป็นนักแก้ปัญหา และเธอยังเป็นนักอุดมการณ์ที่มีความมั่นคงมาโดยตลอดแถมยังมีสามขุนพลที่มากด้วยประสบการณ์คือประธานาธิบดีโจ ไบเดน ประธานาธิบดีบารัก โอบามาและประธานาธิบดีบิล คลินตันเป็นที่ปรึกษา เพราะฉะนั้นประตูสู่ทำเนียบขาวยังคงเปิดอ้ารอเธอก้าวเข้าไปละครับ