ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า เมื่อวันที่ 3 ต.ค.67 เวลา 19.00 น.เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.เตาปูน นำกำลังจับกุม นายสันติ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของ สน.เตาปูน ข้อหาคดีลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ระหว่างนั้นผู้ต้องหาได้ยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเปิดทางหนี พร้อมทั้งปีนรั้วเข้าไปในบ้านในซอยอินทามระ 29 แยก 3 แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ พร้อมทั้งหักกล้องวงจรปิดเพื่อป้องกันการติดตามตัว 

ต่อมา 21.30 น.เจ้าหน้าที่ สน.เตาปูน ได้ประสานขอกำลังเสริมจาก ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบปราม เข้าปิดล้อมพื้นที่พร้อมทั้งนำโดรนของชุดเครื่องมือพิเศษ สนับสนุนภารกิจ บินตรวจตราความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหา ระหว่างนั้นได้พยายามเจรจาให้มอบตัว เเต่ผู้ต้องหาไม่ยอมเจรจาด้วย 

เบื้องต้นทราบว่า นายสันติ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ สน.เตาปูน คดีลักทรัพย์ในเวลากลางคืน ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.เตาปูนได้แกะรอยติดตามเพื่อจับกุมตัว แต่ผู้ต้องหาไหวตัวทันยิงเปิดทางวิ่งหนีเข้าไปในซอยที่เกิดเหตุ ก่อนจะปีนกำแพงเข้าไปในบ้านหลังดังกล่าว นอกจากนี้ตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องเคยเป็นอดีตนักมวยไทยและเป็นอดีตเทรนเนอร์มวยไทย อุปนิสัยส่วนตัวชอบพกปืนและชอบใส่เสื้อเกราะ

โดยภาพจากกล้องวงจรปิดจะเห็นได้ว่า ผู้ต้องหาได้มีการพยายามปีนกำแพงเข้าไปหลบหนีในบ้าน และเมื่อเข้าไปในบ้านก็ไม่ได้มีเจตนาหรือมีความต้องการที่จะจับคนในบ้านเป็นตัวประกันแต่อย่างใด ซึ่งสาเหตุที่ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเข้าไปเปิดปฏิบัติการได้เพราะต้องใช้ความระมัดระวังเนื่องจาก มีข้อมูลว่าภายในบ้าน มีประชาชนอยู่ภายบริเวณชั้น 2 รวม 2 คน และเมื่อช่วงเวลาประมาณ 19:00 น. เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ยินเสียงปืน 5 นัด ยิงภายในบริเวณซอยแห่งนี้ ทำให้เกรงว่า ผู้ก่อเหตุอาจจะใช้อาวุธปืนก่อเหตุที่ไม่คาดคิด ล่าสุดได้มีการขอให้สื่อมวลชน ออกจากจุดที่ใกล้กับบ้านหลังดังกล่าวเพราะเกรงว่าจะอยู่ในวิถีกระสุน 

ขณะที่ทางด้านเฮียตี๋ ซึ่งเป็นอดีตนายจ้างของผู้ต้องหาให้เปิดใจกับผู้สื่อข่าวว่า ผู้ต้องหาเคยเป็นนักมวย  แต่พอเลิกชกมวยตนก็ได้ว่าจ้างให้มาเป็นครูฝึกสอนที่ค่ายมวยของตนย่านอินทามระ แต่ก็อยู่ด้วยกันเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น โดยตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกัน ผู้ต้องหาไม่เคยมีพฤติกรรมความรุนแรงให้เห็นแต่อย่างใด แต่ที่อยู่ด้วยกันไม่ได้เป็นเพราะเพราะผู้ต้องหามีพฤติกรรมชอบลักทรัพย์ มีหลายครั้งที่ของใช้ส่วนตัวของนักมวยในค่ายหายไป และผู้ต้องหามีพฤติกรรม เสพยาบ้าเป็นประจำ จนทำให้ตนต้องไล่ออกไป

ต่อมาพลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันเพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตำรวจตรีนพศิลป์ พูลสวัสดิ์รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พร้อมด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในพื้นที่ตำรวจนครบาล และหน่วยอรินทราชติดอาวุธครบมือ ได้เข้ามาร่วมกันระงับเหตุ 

กระทั่งเวลาประมาณ 00.30 น. พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันเพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า เบื้องต้นตำรวจสามารถช่วยเหลือ ผู้ที่อยู่ในบ้านได้ทั้ง 2 คน โดยทั้งคู่อาการปลอดภัย จากการตรวจสอบพบเป็นชายสองคนอาชีพนายแพทย์ อายุ 30 และ 31 ปี ซึ่งทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน ส่วนคนที่อยู่ในบ้านซึ่งเป็นผู้หญิงอีก 1 คนนั้น ทราบว่าได้หนีออกมาตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดเหตุแล้ว  

ส่วนผู้ต้องหาพบว่าหลบหนีไปได้ผ่านทางช่องระบายอากาศ ก่อนจะปีนออกไปที่บริเวณด้านหลังของบ้าน ซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างติดตามไล่ล่าเส้นทางการหลบหนียืนยัน ว่าฝ่ายสืบสวนมียุทธวิธีในการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดี จากที่สังเกตการณ์พบ ผู้ต้องหาไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใครต้องการเพียงแค่จะหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. เตาปูนเพียงเท่านั้น

ขณะที่ในเวลาไล่เลี่ยกัน พบว่าภรรยาของ นายสันติ ได้ใช้อาวุธข่มขู่ว่าจะทำร้ายตัวเอง หลังเกิดภาวะเครียดจากการที่สามี ถูกเจ้าหน้าที่ปิดล้อมจับกุม โดยเหตุดังกล่าวอยู่ที่อาคารร้างแห่งหนึ่ง บริเวณแยกสุทธิสาร ริมถนนวิภาวดี ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ นายสันติ ถูกปิดล้อมไม่ไกลมากนัก หลังจากใช้เวลาเกลี้ยกล่อมกว่า 2 ชั่วโมง พบว่าภรรยาผู้ต้องหาได้ยินยอมพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ แต่ได้ใช้อาวุธพยายามขู่ทำร้ายตัวเองพร้อมขึ้นรถไปกับตำรวจ 1 นาย ก่อนที่ตำรวจคนดังกล่าวจะขับรถออกจากจุดเกิดเหตุไปพร้อมกับภรรยานายสันติ  

ซึ่งภรรยาของ นายสันติ ได้ใช้อาวุธข่มขู่ว่าจะทำร้ายตัวเองขึ้นรถตำรวจ 191 หลบหนีมา แล้วโดดออกจากรถ บริเวณถนนเลียบคลองธัญบุรี - วังน้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายหน่วยปูพรหมค้นหาภรรยาของนายสันติ อย่างต่อเนื่องเพื่อนำตัวมาดำเนินคดี ซึ่งจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบต่อไป