ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ ไม่รับ2คำร้องล้มเลือกสว.ไว้พิจารณา ระบุไม่เข้าหลักเกณฑ์กฎหมายกำหนด ด้าน"พร้อมพงศ์" เย้ย "ไพบูลย์-ปิยะ-ธีระชัย" แถลงข่าวไร้สาระแก้เกี้ยว ยัน "ลุงป้อม" ความผิดสำเร็จแล้ว ไม่มีส.ส.คอยปกป้อง พร้อมตามกัดไม่ปล่อยปมลาประชุม
ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 2 ต.ค.67 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ พล.อ ประวิตร วงษ์สุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้(พปชร.) นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ,พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย โฆษกพรรค ,นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง และคณะ แถลงข่าวตอบโต้ตนเองน่าจะเป็นการแก้เกี้ยว แก้ตัว ออกมารับสารภาพว่ากระทำผิดจริง มีแต่น้ำไม่มีเนื้อ ไม่มีสาระ เหมือนขนมจีนมีแต่เส้นไม่มีน้ำยา และเห็นความไม่พร้อมของการทำงานในพรรคพลังประชารัฐที่เนื้อหาการแถลงข่าว หาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคออกมาเป็นปากเป็นเสียงให้กับพรรคไม่ได้ แต่กลับให้คนที่อยู่นอกสภามาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล แทนที่จะเป็นหน้าที่ของ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ จึงทำให้เห็นว่าวันนี้ พรรคพลังประชารัฐ ไม่เหลือ ส.ส. ที่จะทำหน้าที่ปกป้องพล.อ.ประวิตรอีกต่อไปแล้ว
สำหรับกรณีที่นายไพบูลย์ ออกมาแถลงข่าวยอมรับที่จะแนะนำให้พล.อ.ประวิตรเดินทางมาทำหน้าที่ในสภามากขึ้น เท่ากับนายไพบูลย์ยอมรับว่าการประชุมสภาในทุกวันพุธและวันพฤหัส เป็นหน้าที่ของพล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทย ต้องอุทิศตนอุทิศเวลาในการทำหน้าที่ สภาผู้แทนราษฎร แต่ไม่สนกระแสสังคมที่ถามหาความรับผิดชอบ ไม่มีความรับผิดชอบทางการเมืองด้วยการลาออกตามที่ตนร้องขอ แต่เลือกใช้วิธีการไม่รับเงินเดือน และแจ้งความประสงค์ขอคืนเงินเดือนแทนที่จะมาทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย การเลือกที่จะคืนเงินเดือนหรือ การเลือกที่จะสละเงินเดือนหลังการขาดประชุม และภายหลังถูกร้องเรื่องจริยธรรมต่อสภาและคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่ได้ทำให้การกระทำซึ่งเป็นความผิดสำเร็จแล้ว กลายเป็นไม่มีความผิด
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า น่าจะเป็นมุขทางกฎหมายตื้นๆ ที่นายไพบูลย์และทีมกฎหมายให้คำปรึกษาใช่หรือไม่ เหมือนแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ แต่งานนี้ตนมองว่าพล.อ.ประวิตรโดนฉมวกแน่ ถ้าเป็นตนจะให้คำแนะว่า "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" จะมีศักดิ์ศรีและสง่างามสมชายชาติทหาร มากกว่าการเอาเงินมาคืนภายหลังความผิดสำเร็จแล้ว ลาออกเถอะ เพราะยังเหลือแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีอีกคน แต่นายไพบูลย์ กลับสร้างธรรมเนียมที่น่าจะไร้จริยธรรมใหม่ โดยการเรียกร้องให้ ส.ส. ที่ลาประชุมบ่อยๆ ทำตามพล.อ.ประวิตร ยิ่งทำให้ตนแปลกใจใหญ่ว่านายไพบูลย์ เป็นผู้คุมข้อบังคับพรรค กลับเรียกร้องให้นำกรณีพล.อ.ประวิตร ถึงคราวแล้วที่พล.อ.ประวิตรจะมีปัญหาหรือจบเกม ถ้านายไพบูลย์คิดได้แค่นี้ขอเสนอให้พล.อ.ประวิตร ปลดนายไพบูลย์ ออกจากตำแหน่งดีกว่า
นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า จากการแถลงข่าวแล้ว สอบตกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่กล่าวหาตนว่าเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและรับงานแกนนำพรรคการเมืองมาร้องเรียนพล.อ.ประวิตร ทั้งที่ข้อเท็จจริงตนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใด และไม่ได้รับงานแกนนำพรรคการเมืองใด หรือไปรับจ้างใครมาร้องเรียน แต่ตนรับงานมาจากประชาชน เพราะประชาชนผู้เสียภาษีร้องเรียนมา ตนจึงต้องมาทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะและประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ดังนั้นเมื่อนายไพบูลย์ฯแจ้งให้ตรวจสอบพล.อ ประวิตรอย่างเต็มที่ ตนก็จะยื่นตรวจสอบเพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้ ที่สำนักงาน ป.ป.ช. ในการกระทำผิดกฎหมายและระเบียบคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต่างกรรมต่างวาระกัน โทษถึงจำคุกและปรับตัดสิทธิทางการเมือง ประพฤติผิดต่อจริยธรรม
ส่วนกรณีที่พล.ต.ท.ปิยะและนายธีระชัย ออกมาแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องราคาน้ำมันเชื้อเพลิงก็ดี หรือเรื่องกองทุนวายุภักษ์ก็ดี ตนขอแนะนำพล.อ.ประวิตรมอบให้ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ตั้งกระทู้ถามรมว.คลัง หรือรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบในสภา จะทำให้พรรคพลังประชารัฐเป็นฝ่ายค้านที่แท้จริง การให้นายธีระชัย ออกมาทำหน้าที่ตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ ดูเหมือนผิดฝาผิดตัว เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง และน่าจะทำหน้าที่เป็นฝ่ายแค้นมากกว่าฝ่ายค้าน นายธีระชัย ไม่ใช่ ส.ส. ถ้าพรรคพลังประชารัฐมีความพร้อม ส.ส. ยังมีอยู่ในพรรคไม่ได้หนีพรรคไปไหน นายธีระชัยจะให้ข้อมูลกับ ส.ส. มาตั้งกระทู้ถามในสภา หรือจะให้พล.อ.ประวิตรไปตั้งกระทู้เองในสภา จะกล้าไหม แสดงถึงวุฒิภาวะของคนเป็นผู้นำที่เสนอตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ การที่ออกมาแถลงข่าวดังกล่าว จึงเป็นเรื่องน่าจะประจานว่า เวลานี้พรรคพลังประชารัฐไม่มี สส. ที่จะทำหน้าที่เป็นปากเสียงหรือเป็นองครักษ์พิทักษ์ พล.อ.ประวิตร อีกต่อไปแล้ว
นายพร้อมพงศ์ กล่าวยืนยันว่า การตรวจสอบต่างๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสเป็นเรื่องดี ประชาชนได้ประโยชน์ แต่สำหรับตนเรื่องจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ขณะที่พล.อ.ประวิตรขาดประชุมจริงยังไม่สำนึกที่จะอุทิศเวลาทำหน้าที่ วันที่ 2 ต.ค.นี้ ก็ยังลาประชุมอีก ตนจึงไม่อาจที่จะหยุดการตรวจสอบได้จนกว่าพล.อ.จะมีความรับผิดชอบทางการเมือง และต้องรับผิดชอบตามกฎหมายอย่างแน่นอน
วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ นายนพดล สุดประเสริฐ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา 2561 มาตรา 15 วรรคสาม ที่บัญญัติว่า ผู้สมัครมีสิทธิสมัครในกลุ่มตามมาตรา 11 (20) ได้ แม้จะมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะหรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทำงานหรือเคยทำงานด้านอื่นในกลุ่มอื่น ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง หรือไม่
โดยศาลฯ อภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้อง นายนพดลขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย รัฐธรรมนูญบัญญัติให้สิทธิในการยื่นคำร้อง ไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 และมาตรา 231 (1) กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561 มาตรา 48 ประกอบมาตรา 47(2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
นอกจากนี้ ยังมีมติเป็นเอกฉันท์สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยในคดีที่ พล.ต.ท.กฤตไชย ทวนทอง และนายแดน ปรีชา (ผู้ร้องรวม 2 คน) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และเลขาธิการ กกต. และพวก รวม 8 คน ร่วมกันดำเนินการประกาศรับรองผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ลงวันที่ 10 ก.ค.67 ทั้งที่มีเหตุอันควรสงสัยและมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าการเลือกสมาชิกวุฒิสภา 2567 ระดับอำเภอ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.67 ระดับจังหวัด เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.67 และระดับประเทศ เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.67 มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม
การกระทำของ กกต.และเลขาธิการ กกต.ที่มิได้สั่งระงับ ยับยั้ง แก้ไข เปลี่ยนแปลง ยกเลิก การเลือก และสั่งให้ดำเนินการเลือกใหม่ หรือนับคะแนนใหม่ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ทำให้เสื่อมทราม อ่อนแอลง หรือทำลายล้างสถาบันนิติบัญญัติอันเป็นหนึ่งในอำนาจอธิปไตย เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
โดยศาลอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องไม่มีข้อเท็จจริง หรือพยานหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องทั้งแปดกระทำการใดๆ อันเป็นการใช้สิทธิ หรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 จึงมีมติดังกล่าว