“หมอเปรม” จี้ถาม “รมว.สาธารณสุข” ความคืบหน้าร่างพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการถึงไหน หวั่นเจอแรงต้านจากพรรคร่วมรัฐบาล  “สมศักดิ์” ยันไม่มีแรงต้าน เหตุประชาชนได้ประโยชน์ โอด “หมอ-อสม.-พยาบาล” ทำงานหนัก ค่าตอบแทนไม่คุ้ม ชี้ ต้องหาแนวทางป้องกันไม่ให้คนเป็นโรค หวังช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณ-บุคลากร


วันที่ 30 ก.ย.2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พิจารณากระทู้ถามสดของนพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) เรื่องความคืบหน้าร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการสาธารณสุข พ.ศ..ถาม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ว่าที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรในสายวิชาชีพ เนื่องมาจากการลาออก การกระจายบุคลากรไม่เหมาะสม และหน่วยบริการมีกรอบอัตราตําแหน่งไม่เพียงพอ ประกอบกับการบรรจุข้าราชการในกระทรวงสาธารณสุขมีปัญหาหลายประการ เช่น จํานวนตําแหน่งข้าราชการที่มีอยู่ไม่เพียงพอต่อการรองรับบุคลากรที่จบใหม่ กระบวนการบรรจุที่ซับซ้อน ล่าช้าและความไม่ยืดหยุ่นของระบบการบรรจุข้าราชการ

จึงขอถาม 1.ปัจจุบันร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนไหน และคาคว่าจะมีผลบังคับใช้เมื่อใด 2. นโยบายแยกการบริหารจัดการบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขออกจาก ก.พ. ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขและประชาชนอย่างไร 3.กระทรวงสาธารณสุขได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นของบุคลากรในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข และประชาชนต่อร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวได้ผลเป็นอย่างไร

“ผมอยากถาม ว่า ระหว่างที่นายสมศักดิ์ขับเคลื่อนเรื่องนี้ไปข้างหน้า มีคนถ่วง มีคนเตะตัดขาทำให้เรื่องนี้ไม่สำเร็จหรือไม่ ที่บอกว่าจะให้เสร็จภายใน 2 ปีผมเอาใจช่วย เพราะรัฐบาลนี้ยังเหลืออีก 3 ปี เวลายังมีเพียงพอทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ผมเอาจะช่วยนายสมศักดิ์ ให้ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จเพื่อเป็นขวัญตาให้พี่น้องชาวกระทรวงสาธารณสุขทั้งที่เกษียณแล้วและที่ยังทำงานอยู่ในปัจจุบัน จะได้มีขวัญกำลังใจ อย่างไรก็ตามผมจะรอกฎหมายนี้อยู่ที่วุฒิสภา”นพ.เปรมศักดิ์กล่าว

นายสมศักดิ์ ชี้แจงว่า กระทรวงสาธารณสุขมีข้าราชการมากและภาระงานมาก คนส่วนใหญ่ทำงานได้ เป็นคนเก่งและบ่นน้อยที่สุด แต่ค่าตอบแทนกลับไม่สมดุลกับงาน นอกจากนี้ ยังมี อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีประมาณ 1 ล้านคน เราใช้งานเขามากมายตั้งแต่ช่วงโควิด  ทุกวันนี้คนเข้ามารักษาแต่ไม่มีการป้องกัน ตนจึงกำชับในส่วนนี้ว่าหากป้องกัน หยุดโรคได้จะประหยัดงบประมาณและบุคลากร ตั้งแต่ตนมารับตำแหน่ง พ.ค. 67 ได้ดำเนินการติดตามต่อเนื่อง โดย มิ.ย. ได้ดำเนินการ สรุปเรื่อง และขั้นตอนที่ 2 เดือน ก.ค. มีการประชุมร่างกฎหมายและรับฟังความเห็นผ่านเว็บไซต์ของกระทรวงสาธารณสุข 15 วัน และขั้นตอนที่ 3 สรุปประเด็น เผยแพร่ วิเคราะห์ผลกระทบและรายงานไปถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทั้งนี้ผมไม่ได้เป็นรัฐมนตรีติดต่อกัน มีการปรับ ครม.อยู่ครั้งหนึ่ง ช่วงที่ไปถึง ครม.แล้ว ตนต้องยืนยันร่างใหม่ หลังจากนี้ผมมั่นใจว่า ครม.ไม่มีปัญหา เพราะแผนงานจะเป็นตามขั้นตอนนั้น ทั้งในชั้นกฤษฎีกาและสภา

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในการแก้ไขกฎหมายของสภาฯ ตนขอให้ใช้เวลาอย่างประหยัด เพราะบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขรออยู่ ส่วนการทำร่างกฎหมายนั้น โดยตามขั้นตอนสามารถใช้เวลา 2 ปี แต่หากตนยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 1-2 ปี  ตนมั่นใจว่าเสร็จทันแน่ เพราะตนติดตามตลอด  สำหรับประโยชน์ของร่างกฎหมายดังกล่าว เพื่อแก้ปัญหากำลังคน กระจายบุคลากร ให้อำนาจกระทรวงสาธารณสุขจัดการบุคลากรด้วยตนเอง  ขณะนี้พยาบาล หนึ่งคน ทำงานหนักมากกว่าคนปกติ 2-5 เท่า รวมถึงต้องทำงานเกิน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ อดหลับอดนอน ส่งผลถึงประสิทธิภาพการทำงาน การให้บริการกับประชาชน ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จะช่วยสร้างความชัดเจนโดยตั้งคณะกรรมการหนึ่งชุดขึ้นาพิจารณารายละเอียด ช่วยบริหารจัดการ อัตราตำแหน่ง กระจายตัวที่เหมาะสม ค่าตอบแทนที่ตรงกับความเป็นจริง ไม่เป็นภาระของงบประมาณ ทั้งนี้การผลิตหมอ 1 คน ใช้ต้นทุน 4 ล้านบาท ทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนค่าตอบแทนจะให้เหมือนอาชีพปกติก็คงไม่ถูกต้อง” นายสมศักดิ์ กล่าว

“เมื่อพ.ร.บ.ดังกล่าวบังคับใช้ จะทำให้มีการปรับโครงสร้างให้มีความคล่องตัว คนที่ได้รับผลประโยชน์ที่สุดคือประชาชน ได้รับบริการและดูแลให้ดีขึ้น ทั้งประชาชนเข้ารับบริการด้านสาธารณสุขที่ง่าย สะดวก และดีขึ้น อย่างไรก็ดีในขั้นตอนการทำกฎหมายของสส. และสว. สามารถปรับแก้ไขให้สมบูรณ์ได้ ทั้งนี้การทำร่างกฎหมายดังกล่าวไม่พบว่ามีแรงต้านจากส่วนใด” รมว.สาธารณสุข กล่าว