ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต
“ผมเชื่อว่า..หากชีวิตได้ให้เวลาที่งดงามแก่ชีวิตอย่างแท้จริงด้วยเต็มใจ..ควาามสุขย่อมเกิดขึ้นได้อย่างเบิกบาน มันถือเป็นรางวัล..ที่ละเมียดละไมของความรู้สึกที่ ผูกพันความหมายแห่งกายใจให้เชื่อมโยงถึงกัน..ด้วยความรัก..ตราบเท่าที่เราต่างได้ตระหนักถึง..การให้เวลากับตัวเอง ด้วยความรื่นรมย์และเข้าใจ ในโลกของความเป็นจริงอันแท้จริง..
นี่คือจิตวิญญาณอันงามสง่าที่เราจะค้นพบอย่างไม่รู้จบ..ขณะที่หัวใจแห่งความผูกพันแห่งกันและกัน..ได้ไหวเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่รู้จบ..และทั้งหมดนี้คือ..ส่วนลึกของการตัดสินใจ..อันโลดเต้นและส่งผลต่อความหมายอันกล้าแกร่งและล้ำลึกต่อ..สรรพชีวิตเสมอ..”
นี่คือนิยามอันมีชีวิตชีวาของหนังสือแห่งการชุบชูชีวิตเพื่ออิงแอบต่อโลกแห่งตัวตนด้วยความรู้สึกแห่งรักและปรารถนาอันยั่งยืน
“วันนี้ฉันตัดสินใจจะให้เวลากับตัวเอง” (Giving Myself Time)..ประพันธกรรมที่บอกกล่าวถึงวิธีการแห่งแนวทางที่จะทำให้มีชีวิตอยู่รอดได้ในโลกอันเต็มไปด้วยวิกฤติของชีวิตอย่างทุกวันนี้..ได้อย่างมั่นคงและอบอุ่น..
ผลงานแห่งการคิดและสร้างสรรค์โดย.. “โอรียออิน” หนังสือที่สร้างความหวังแก่ไออุ่นของชีวิตด้วยสาระเรื่องเล่าที่เรียบง่าย แต่สามารถปลุกตื่นหัวใจให้เป็นประกายอย่างล้ำลึก..เป็นมติเอกฉันท์ที่ได้รับการโหวตจากผู้อ่านอย่างท่วมท้นให้เป็นหนังสือที่ต้องอ่านและไม่มีวันลืม..เป็น “Book of The Year” แห่งปี 2020..โดยได้รับเกียรติและยังคง.. “คงคุณค่า”มาจนถึงทุกวันนี้..
*กับคนที่รู้จัก หรือแม้แต่คนในครอบครัว หนังสือเล่มนี้จะทำให้อบอุ่นหัวใจเมื่อได้อ่าน..และยันทั้งสามารถที่จะค้นหาคำตอบเพื่อเป็นแรงใจและความหวังให้แก่ชีวิตได้อย่างยั่งยืน..ตลอดไป..
“ฉันในตอนนั้น ..รวมกัน..เป็นฉันในตอนนี้..” ภาวะขณะของการดำรงอยู่และเป็นไปของชีวิต..ถือเป็นเครื่องชี้ทางแห่งตัวตนที่ต้องใส่ใจและสนใจ ..มันคือทางผ่านอันจริงแท้ของตัวที่สร้างปฏิกิริยาทางสำนึกคิดให้แก่ชีวิตอันยากจะลบเลือน..หากจะถือเอาภาวะนี้เป็นบทเรียนสำคัญ มันก็คือห้วงขณะหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากแบบเรียนแห่งชีวิตแท้จริง..สัญชาตญาณตรงส่วนนี้จะทำให้การรับรู้ของเราแข็งแกร่งและมีค่าขึ้น เป็นการสร้างประสบการณ์แห่งอนาคต..ผ่านการเรียนรู้สูการค้นพบใหม่จากแบบเรียนอัน ซ่อนเงื่อนซ่อนปมของอดีต..ผ่านรอยเลื่อนของปัจจุบัน สู่กาลเวลาอันยากจะคาดเดาที่ยังมาไม่ถึง..
แต่นั่น..กลับคือสิ่งที่สามารถย้ำเตือนกับเราว่า.. “ในทุกๆวันมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลง ไปอย่างเงียบงัน”
การเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบงันนี้...เกิดขึ้นในจักรวาล ณ วันนี้อย่างคลาคล่ำ จากสิ่งเล็กสิ่งน้อยไปสู่อันใหญ่โตอันควบคุม..เราจึงต้องตระหนักที่สมควรจะเรียนรู้ความเปลี่ยนแปรของโลกวันนี้ให้ดี..เรียนรู้เพื่อจะลงลึกถึงอำนาจที่ควบคุมชีวิตของเราอยู่ว่ามันคือสิ่งใดในสิ่งใดกันแน่..
วันหนึ่งๆ มีสรรพเหตุการณ์เกิดขึ้น มีสรรพสิ่งได้ก่อเกิด และมี ความคลุมเครือหลากหลายส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของมนุษย์..นั่นจึงทำให้หลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นไปอย่างที่เราคาดคะเน..
แม้เราจะอนุมานว่าชีวิตต้องเรื่องง่ายสักเพียงใดแต่ภายใต้ความง่ายนั้นก็จำเป็นต้องตีความและต้องพินิจพิเคราะห์ด้วยองค์ความรู้แห่งประสบการณ์ที่ต้องมีการหยั่งรู้แท้จริง..
“กิ่งไม้ทุกกิ่งล้วนมีความขรุขระ มีความนูนจากการเติบโตของมัน ครั้นเมื่อมันเติบโตเป็นต้นใหญ่ก็ไม่มีใครสนใจรอยแผลนั้น..เหมือนกับคนเราจะเติบโตได้..ก็ต้องล้วนมีบาดแผลเช่นกัน..”
วิถีแห่งประสบการณ์นิยมอาจถือเป็นความเข้าใจในความเรียบง่ายของชีวิต..เราต้องเข้าใจในส่วนบกพร่องนานาที่ชีวิตต้องเผชิญหน้าและพานพบ..ต้องจดจำและเก็บเอาสิ่งเหล่านั้นมาสอนใจ..ความขรุขระใดๆก็ตามที่เหวี่ยงซัดชีวิตจนคลอนแคลนคือตัวอย่างแห่งการพินิจพิเคราะห์ทางปัญญาญาณที่สามารถ..ล้างชำระบาดแผลอันมืดมนของชะตากรรม..การพิจารณาเพื่อเข้าใจในมิตินี้เกิดจากความเข้าใจของที่จักต้องหวังที่จะเรียนรู้โดยถ่องแท้สู่โอกาสแห่งการเติบโตในห้วงต่อๆไปอย่างสมบูรณ์..
“ ชีวิตเมื่อเริ่มทำอะไรใหม่จะยากเสมอ..แต่ตราบใดที่เราไม่หยุดทำ ความสำเร็จย่อมมาหาเราสักวันหนึ่ง..”
เจตจำนงอันตั้งใจของหนังสือเล่มนี้ มุ่งผลักดันให้ทุกคนได้มีโอกาสตระหนักรู้ถึงวิถีทรรศน์แห่งชีวิตเพื่อจะก่อเกิดพลังแห่งชีวิตขึ้นมา การทดลองกระทำในรากฐานแห่งความคิดในเชิงประสบการณ์ของชีวิตคือ..ปฐมบทแห่งจิตศรัทธาต่อการนับถือชีวิต ที่ค่อยๆเติบโตจนบรรลุสู่ความเป็น “ผู้บรรลุ” เข้าใจในโครงสร้างอันกว้างใหญ่ของพื้นที่ชีวิตที่จักต้องเผชิญหน้าอย่างไม่อาจเลี่ยงพ้น ..มันคืออุทาหรณ์สอนจริตแก่ตัวตนของทุกคน..ในสายทางแห่งการต่อสู้ที่บากบั่นของความคิดทั้งที่เป็นจริงและลวงหลอกอันยากจะสรุปตีความออกมาได้อย่างตื่นเขิน..แต่จะต้องลงลึกถึงอำนาจแห่งความมีและความเป็นของมัน อันยากจะปฏิเสธได้..
“ทุกๆอย่างหากให้เวลากับมันเพียงพอ..ในสิ่งต่างๆที่สำคัญของเรา ..สุดท้ายมันจะงอกเงย..ออกมาให้เราได้ชมความสวยงามของมันอย่างแน่นอน..”
ผู้คนส่วนใหญ่ ในวันนี้มักให้เวลากับชีวิตของตัวเองเพียงน้อยนิด ส่วนใหญ่มักจะอ้างถึงการไม่มีเวลา..หรือการไม่สามรถใช้เวลาสัมผัสกับชีวิตอย่างเข้าใจและแน่นสนิทได้..เราต่างดำรงชีวิตอย่างฉาบฉวย..ไม่ใคร่ครวญว่า “ชีวิตเฉพาะวันนี้” คืออะไรและสำคัญต่อโลกของการมีชีวิตอยู่อย่างไร?..
การมองความเรียบง่ายแห่งชีวิตด้วยความรู้สึกอันผิวเผิน..จะทำให้จิตสำนึกของเราแห้งแล้ง..ไม่เบิกบานในเจตจำนงไม่ว่าจะดีหรือร้าย
..เหตุนี้เราจึงต้องให้เวลากับชีวิตให้มาก เพื่อการพิจารณา"ลีลาชีวิต"ทั้งด้วยความเป็นสุนทรียะและด้วยกระบวนการของความเป็นเหตุเป็นผลอันยากจะย้อนแย้ง..แม้เมื่อใด..
“ถั่วลิสงบางฝักก็มีเมล็ดเดียว บางฝักก็มีสองเมล็ด..บางฝักมีเมล็ดที่แก่จนไม่เหลืออะไร..แต่บางฝักก็มีเม็ดที่ใหญ่มาก ทั้งที่จากด้านนอก แทบจะแยกความแตกต่างออกจากกันไม่ได้เลย”
ภาวะความแตกต่างของโลกและชีวิต เป็นเรื่องล้ำลึก มันสังเกตกันไม่ได้ง่ายๆหรอกกว่าจะรับรู้ได้ย่อมหมายถึงว่าในแต่ละวันเราต้องฝึกหัดที่จะเคี่ยวกรำชีวิตให้ละเอียด ที่จะต้องอดทนต่อการแบกรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดแก่วัฏจักรของชีวิต อย่างเข้าใจและปลดปลง..
เพราะมันไม่แน่หรอกว่าชีวิตจะพบกับความทุกข์หรือความสุขในยามใด ต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังหรือสมหวังในยามใด ทุกอย่างคล้ายดั่งการจลาจล ที่ไร้ระเบียบทางคงามคิด..และปราศจากความแห่งความชื่นชมอันน่าเชื่อใจ..
ในแต่ละวันที่ผันผ่าน..ชีวิตจักต้องยอมรับในสิ่งนี้ เช่นเดียวกับการยอมรับในอุบัติการณ์ของหายนะแห่งความหวัง...ด้วยอารมณ์แห่งสติปัญญาที่..สามารถครอบคลุมตัวเองอย่างมีแก่นสารได้ทุกเมื่อ..
“ยิ่งปีกแห่งความเชื่อมั่นกางออกมามากเท่าไหร่..เราก็ยิ่งบินได้ไกลและสูงเท่านั้น..”
การบินได้ไกลและสูง..คือความวาดหวังของชีวิต..ในยามที่ชีวจิตเคลื่อนตัวได้ยาก เนื่องเพราะชีวิตถูกกดทับด้วยอุปสรรคนานา..ความตีบตันโดยส่วนตัวจึงทวีคูณขึ้น..กับชีวิตของผู้คน..ผ่านหลักการที่มีทั้ง เลื่อนลอยเพ้อฝัน หรือ กล้าหวังถึงความผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างที่คิดฝันไว้..แต่ในวันหนึ่งๆ ผู้คนจะก้าวไปข้างหน้าได้อย่างที่ฝันไว้ได้สักกี่คน..หากไม่เพ่งพินิจ และขจัดหนามแหลมแห่งอุปสรรคระหว่างความคิดและการกระทำออกไปเสียก่อน..
“ความโชคดีเกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา..เพียงสิ่งเล็กน้อย ก็เป็นโชคดีได้เหมือนกัน...”
นั่นเป็นดั่งข้อสรุปของชีวิตของ “ออรียออิน”..ที่ให้ความหมายต่อจิตวิญญาณของชีวิตยิ่ง..มันหมายถึงว่าความรู้สึกใกล้ตัวหาใช่สิ่งที่ไร้ค่า..แต่มันกลับแฝงฝังพลังแห่งตัวตนเหนือตัวตนให้เกิดขึ้นกับคนทุกคน....ด้วยท่าทีของมิตรใจที่กลั่นออกมาจากความชิดใกล้..ในทุกสารทิศของการหยั่งรู้อันถาวร “บางเบา..เรียบง่าย..แต่ยึดโยงหัวใจต่อหัวใจด้วยสัจธรรม.. คนเราเมื่อมองจากภายนอก ไม่ว่าจะมองอย่างไร..เงียบสงบเพียงใด ก็บอกไม่ได้ว่า..คนคนนั้นคิดอะไรอยู่?”
ณ วันหนึ่งๆ ปริศนาแห่งชีวิตเกิดขึ้นมากมายเกินจะตีความได้หมด..ยิ่งเติบโตขึ้นมากเท่าไหร่ ปริศนาแห่งชีวิตก็ยิ่งจะขยายกว้างเพิ่มมากยิ่งขึ้น..หาหปล่อยให้ชีวิตว่างเปล่าอย่างไร้จุดหมาย ชีวิตก็ไม่อาจสร้างคุณค่าแห่งตัวตนก่อเกิดขึ้นมาได้..รังแต่จะจมปลักอยู่กับสูญญากาศของความโง่งม มีชีวิตอยู่ไปวันๆดั่งเครื่องจักรกลอันไร้หัวใจ..ดั่งมายาคติแห่งโลกจอมปลอมอันไร้สติอยู่คราแล้วคราเล่า..
ปฐมฐานแห่งหนังสือ.. “วันนี้ฉันตัดสินใจจะให้เวลากับตัวเอง” ..จะนำเราไปสู่แสงสว่างทางปัญญาอันตื่นตัว แสงสว่างที่เราจะเกิดการน้อมรับฟังเสียงคำสอนอันสะกิดใจ..อย่างสดรับรู้ และได้ยิน..ค่อยพิจารณาเรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้แล้วเราจะเห็นดอกผลอันเป็นคุณต่อชีวิตแม้กระทั่ง.. “หนึ่งในความใฝ่ฝัน ย่อมคือการมุ่งมั่นที่จะใช้ชีวิตไป..ตลอดชีวิต..”
“สุมาลี สูนจันทร์” แปลหนังสือแห่งสาระเล่มนี้ออกมา ได้อย่างเนียนแนบในความรู้สึก..เข้าใจในแก่นแท้อันแฝงลึกแห่งความตั้งใจของผู้สร้างความจริงและความงามแห่งวรรณกรรม.
...*เหมือนเมล็ดอะโวคาโด ที่ถูกทิ้งไว้แล้วจู่ๆก็แตกต้นอ่อน..เหมือนใบไม้ช่วงเปลี่ยนฤดูที่ยังเปลี่ยนสีไม่หมดต้น บางครั้งสิ่งที่จำเป็นที่สุดทั้งต่อต้นไม้และคนเรา..เพราะเรายังต้องเดินต่อไปอีกนานแสนนาน..
ไม่ต้องเร่งรีบ..ไม่ต้องแข่งกับใคร..แต่ค่อยๆก้าวผ่านและเติบโตในจังหวะของตนเอง..
“เฝ้ามองคนอื่นเขาวิ่งกัน..ฉันจะเดินช้าๆและค่อยๆ..เติบโต”