วิจัยกรุงศรีคงประมาณการจีดีพีปี 67 เติบโตที่ 2.4% ผลบวกจากโอนเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางอาจถูกลดทอนด้วยผลกระทบจากอุทกภัย
เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 วิจัยกรุงศรีระบุว่า แม้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลุ่มเปราะบางจะช่วยหนุนการบริโภคช่วงปลายปีนี้ แต่ความเสียหายจากน้ำท่วมอาจจำกัดผลบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ล่าสุดวันที่ 17 กันยายน ครม. มีมติเห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ (โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเดิม) จำนวน 14.5 ล้านคน คนละ 10,000 บาท โดยอนุมัติงบประมาณ 145,552 ล้านบาท แหล่งเงินจาก 2 ส่วนด้วยกัน คือ (i) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบฯ 2567 ในส่วนของงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 122,000 ล้านบาท และ (ii) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 23,552.40 ล้านบาท) วัตถุประสงค์เพื่อมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้มีรายได้น้อยและคนพิการ พร้อมทั้งสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งจะเริ่มดำเนินการโอนเงินให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง ระบุการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าวจะส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.35%
ล่าสุดวิจัยกรุงศรียังคงประมาณการอัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2567 ไว้ที่ 2.4% แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีจะได้รับแรงสนับสนุนจากโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลุ่มเปราะบาง ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ แต่ผลบวกดังกล่าวอาจถูกลดทอนด้วยผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยที่สร้างความเสียหายในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เบื้องต้นจากการคาดการณ์ในกรณีฐาน (Base Case) วิจัยกรุงศรีคาดว่า พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมจะอยู่ที่ประมาณ 8.6 ล้านไร่ ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายทางทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 3.1 พันล้านบาท และผลผลิตทางการเกษตรเสียหายมูลค่ารวม 43.4 พันล้านบาท เมื่อรวมความเสียหายทั้งหมด คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 46.5 พันล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ -0.27% ของ GDP
ขณะที่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศยังต้องติดตามการประชุมบอร์ดค่าจ้างครั้งถัดไป จากกำหนดการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างเพื่อพิจารณาถึงการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาททั่วประเทศทั้งในวันที่ 16 กันยายนและวันที่ 20 กันยายน พบว่ายังไม่มีมติใดๆเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ จึงทำให้ต้องขยับเลื่อนออกไปอีก ทั้งนี้ ในปี 2567 ประเทศไทยมีการปรับขึ้นค่าจ้างสองครั้งคือเมื่อวันที่ 1 มกราคม ปรับขึ้นทั่วประเทศแบ่งออกเป็น 17 อัตรา โดยอยู่ในช่วง 330 –370 บาทต่อวัน หรือเฉลี่ยปรับขึ้น 2.37% และต่อมาวันที่ 12 เมษายน ปรับค่าจ้างเป็น 400 บาทต่อวัน เฉพาะโรงแรมที่มีลูกจ้างไม่เกิน 50 คนขึ้นไปใน 10 จังหวัดท่องเที่ยวและปรับบางเฉพาะพื้นที่
ปัจจุบันแรงงานที่ได้ค่าจ้างน้อยกว่าค่าจ้างขั้นต่ำมีสัดส่วนอยู่เพียง 16% ของแรงงานทั้งหมด เทียบกับ 38.8% ในปี 2557 อย่างไรก็ตาม ยังมีธุรกิจที่มีการขยายตัวของผลิตภาพแรงงานในปัจจุบันต่ำกว่าการเติบโตของค่าจ้างที่แท้จริง (Negative productivity-wage gap) อาจเผชิญแรงกดดันมากขึ้นต่อผลกำไรและความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นอาจไม่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผลิตภาพแรงงาน โดยกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงมากขึ้นจากการปรับขึ้นค่าจ้าง ได้แก่ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อิเล็กทรอนิกส์ ยางและพลาสติก อาหารและเครื่องดื่ม และยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง รวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ธุรกิจบริการอื่นๆ ส่วนใหญ่มีช่องว่างผลิตภาพแรงงานและค่าจ้างเป็นบวก อาทิ การเงิน และการค้า ซึ่งสะท้อนว่าผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต่อธุรกิจโดยภาพรวมอาจจำกัด
#วิจัยกรุงศรี #จีดีพี #กลุ่มเปราะ #ข่าววันนี้ #ค่าแรง400บาท #สยามรัฐออนไลน์ #สยามรัฐ