ปิดฉากเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ เวทีขับเคลื่อนเชิงนโยบายภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตโดยชุมชนท้องถิ่น ในหัวข้อ “เวทีสานพลังเพื่อส่งเสริมสุขภาพจิตโดยชุมชนท้องถิ่น” (Community Mental Health Forum) ภายใต้ โครงการพัฒนาความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต จัดโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) โรงพยาบาลศรีธัญญา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) และมูลนิธิบุญยง-อรรณพ นิโครธานนท์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยที่ประชุมได้ข้อสรุปจากการทอดบทเรียนการขับเคลื่อน นักส่งเสริมสุขภาพจิตชุมชน (นสช.) ในพื้นที่นำร่อง 15 แห่งทั่วประเทศ ที่มาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ล่าสุด “เครื่องมือดัชนีตัวชี้วัดสุขภาพจิตชุมชน” ใช้ประเมินสุขภาพจิตในระดับชุมชน เคาะเป็น 6 ข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะ พร้อมดันเข้าสู่วาระระดับชาติเพื่อต่อยอดขยายผลการดำเนินงานส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตแก่ทุกกลุ่มวัยให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน

นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส.

ชาญชัย ทองสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยสถาบันพัฒนาศักยภาพเพื่อความเท่าเทียมทางสังคม มูลนิธิบุญยงฯ ตัวแทนแกนนำขับเคลื่อนฯ กล่าวถึงรายละเอียดของ “ข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะด้านการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่นตลอดช่วงชีวิต” ทั้ง 6 ข้อ ที่จะนำสู่การปฏิบัติในระดับประเทศประกอบด้วย

1.กรมสุขภาพจิต สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสถิติแห่งชาติ นำเครื่องมือดัชนีสุขภาพจิตชุมชนท้องถิ่น (Community Mental Health Index) ใช้ประเมินสถานะสุขภาพจิตในระดับชุมชน  และขยายผลต่อยอดไปสู่การเป็นเครื่องมือหลักในการประเมินสุขภาพจิตชุมชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ นำไปสู่การสะท้อนภาพระดับสุขภาพจิตในชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้งเห็นทิศทางในการพัฒนาในแต่ละชุมชนให้มีสุขภาพจิตที่ดีได้ในอนาคต

2.กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้การสนับสนุนขยายผลการสร้างและพัฒนานักส่งเสริมสุขภาพจิตชุมชน (นสช.) ให้กระจายไปทุกชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ โดยเฉพาะตัวแทนประชากรกลุ่มเป้าหมาย เช่น คนพิการ เด็กและเยาวชน พร้อมหนุนเสริมพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ด้านสุขภาพจิตแก่อาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีอยู่เดิม เพื่อทำหน้าที่ส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในได้อย่างเป็นผล พร้อมสนับสนุนทรัพยากรดำเนินงานแก่ นสช.

ชาญชัย ทองสัมฤทธิ์  ผอ.สถาบันพัฒนาศักยภาพเพื่อความเท่าเทียมทางสังคม มูลนิธิบุญยงฯ

3.กระทรวงสาธารณะสุข กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย สนับสนุนและจัดให้มีให้มีคลินิกสุขภาพจิตในทุกโรงพยาบาลชุมชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) พร้อมสนับสนุนทรัพยากรในการดำเนินงาน และพัฒนาศักยภาพบุคลากรในสถานพยาบาลให้สามารถทำหน้าที่ดูแล ให้คำปรึกษา ประเมิน บำบัดรักษา และส่งต่อกลุ่มเสี่ยงและผู้ป่วยจิตเวช เข้าสู่ระบบรักษาพยาบาลตามความเหมาะสม

4.กรมการส่งเสริมการปกครองส่วนทัองถิ่น กระทรวงมหาดไทย สนับสนุนให้กลไกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ระดับต่าง ๆ ขับเคลื่อนงานส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่น โดยกำหนดเป็นแผนงาน และงบประมาณของหน่วยงาน รวมถึงพัฒนาตัวชี้วัดความสำเร็จสำหรับติดตามประเมินผลการดำเนินงานของ อปท.

พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา

5.กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม สนับสนุนให้มีหน่วยงานและบุคลากรทำหน้าที่ในการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตในสถานศึกษา โดยจัดตั้งเป็นคลินิกสุขภาพจิต และพัฒนาศักยภาพโดยให้ความรู้แก่บุคลากรสถานศึกษาในการทำหน้าที่ให้คำปรึกษา ประเมิน เยียวยา และส่งต่อกลุ่มเป้าหมายที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตเข้าสู่ระบบรักษาพยาบาลตามความเหมาะสม พร้อมกันนี้ สนับสนุนให้สถาบันการศึกษาต่าง ๆ บูรณาการกิจกรรมด้านสุขภาพจิตเข้ากับหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนการสอนนักเรียนและนักศึกษาด้วย

และ 6.สำนักงานกองทุนสนับสนุนสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กรมสุขภาพจิต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนงบประมาณและความรู้ทางวิชาการ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ นสช.และชุมชนท้องถิ่นในการขับเคลื่อนงานส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต เช่น หลักสูตรมาตรฐานการอบรม นสช. สื่อการเรียนรู้ สื่อรณรงค์ประชาสัมพันธ์ เครื่องมือประเมินสถานการณ์สุขภาพจิตชุมชน ระบบคัดกรอง และการติดตามประเมินผลความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านสุขภาพจิตของภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ ที่กลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม

นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธาน มสช.

ชาญชัย กล่าวต่อว่า ข้อเสนอเชิงนโยบายสาธารณะทั้ง 6 ข้อนี้ ได้มาจากการทำงานของ 15 พื้นที่นำร่องทั่วประเทศใน 2 เฟสการทำงาน คือในปี 2564-2565 จำนวน 10 พื้นที่ และขยายผลต่อเนื่องในปี 2566-2567 อีก 5 พื้นที่ ครอบคลุมภาคเหนือ อีสาน ภาคกลาง และภาคใต้  แม้ว่าต่างคนจะต่างประสบการณ์ แต่ทุกพื้นที่มีเป้าหมายร่วมกันคือการสร้าง นสช.ให้เกิดขึ้นในชุมชนท้องถิ่นของตน เพื่อทำหน้าที่ช่วยเฝ้าระวังปัญหาสุขภาพจิตของคนในชุมชน เนื่องทาง อสม.ก็มีภาระงานอยู่มาก และการบ่มเพาะสกิลการให้บริการสุขภาพจิตก็มีความเฉพาะตัวต่างจากการดูแลเรื่องสุขภาวะองค์ การเปิดโอกาสให้กลุ่มจิตอาสาในพื้นที่ได้มาร่วมทำงานจะช่วยสร้างความภาคภูมิใจและกลายเป็นชุมชนสุขภาพจิตเข้มแข็งในที่สุด นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือดัชนีตัวชี้วัดสุขภาพจิตชุมชนไว้ใช้ทำงานเชิงวิชาการที่ต้องอาศัยข้อมูลเชิงสถิติในการอ้างอิง

นสช.จากชุมชนวัดเชิงกระบือ อ.เมืองนนทบุรี

“ขณะนี้เราเห็นผลสำเร็จมากขึ้น จากแผนสุขภาพจิตในระดับตำบล เทศบาล ก็เคลื่อนไปสู่ระดับอำเภอและจังหวัด พื้นที่นำร่องหลายแห่งมีการขยายผลไปยังพื้นที่ข้างเคียง หากประเมินแล้วตัวโครงการฯ ที่ทำงานด้านสุขภาพจิตแต่สะกิดไปถึงทุกกระทรวงกำลังเดินหน้าสู่ระยะปลายที่จะมีการประเมินผลสัมฤทธิ์อีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ หลังจากผลักดันเรื่องบริการสุขภาพจิตเข้าไปอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติของกระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ  ให้สำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดจะจัดเป็นงานระดับเอ็กซ์โปเพื่อสร้างความตระหนักและเผยแพร่องค์ความรู้ในเรื่องการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตโดยชุมชนท้องถิ่น” พงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการโครงการ มสช. ระบุ

ภาพตัวอย่างโครงการจิตเวชที่รักของ ต.ลำประดา จ.พิจิตร

ด้าน นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม รองผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สถานการณ์สุขภาพจิตคนไทยประจำปี 2566 ของกรมสุขภาพจิต สธ. พบว่า คนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตสูงถึง 29.9% จากผู้เข้ารับการประเมิน 1.2 ล้านราย เพิ่มขึ้นจากปี 2565 มากถึง 17.1% (ปี 2565 อยู่ที่ 12.8%) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพจิต และบุคลากรทางการแพทย์ด้านสุขภาพจิตมีจำกัด ขณะที่ สสส.มีหน้าที่ดำเนินการสร้างเสริมสุขภาพจิตโดยมุ่งเป้าให้ประชาชนมีสุขภาพจิตดี สอดคล้องกับแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ที่มุ่งเน้นการสร้างเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตทุกช่วงวัย จึงจำเป็นต้องเร่งจัดระบบการส่งเสริมสุขภาพจิตและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตเชิงรุกก เป็นที่มาของการร่วมมือกับ มสช.และภาคีเครือข่าย ริเริ่มโครงการพัฒนาความร่วมมือเพื่อขยายผลการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตของชุมชนท้องถิ่นตลอดช่วงชีวิต ด้วยแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ทดลองการส่งเสริมสุขภาพจิตในระดับชุมชน ให้เอื้อต่อการมีสุขภาพจิตที่ดีทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ 1.พัฒนาองค์ความรู้ด้านวิชาการ 2.ส่งเสริมสุขภาพจิตประชาชนทุกช่วงวัยในพื้นที่ต่าง ๆ 3.สนับสนุนด้านนโยบายสาธารณะเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสุขภาพจิต และ 4.สร้างความตระหนักด้านสุขภาพจิต

ชุมชนที่มีทั้ง นสช. และ อสม. จะกลายเป็นพื้นที่เข้มแข็งทั้งด้านร่างกายและสภาพจิตใจ

ไม่ต่างจาก พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา กล่าวว่า คนไทยเข้ารับบริการด้านจิตเวชมากขึ้นเป็น 2.9 ล้านคน ในปี 2566 จาก 1.3 ล้านคน ในปี 2558 ที่สำคัญพบว่าในจำนวนนี้ป่วยด้วยโรคซึมเศร้าถึง 1.5 ล้านคน ส่งผลให้อัตราการฆ่าตัวตายมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง การจัดกิจกรรมครั้งนี้จึงมุ่งขยายผลความร่วมมือภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้การขับเคลื่อนงานส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิต ที่สำคัญคือการเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ชุมชนท้องถิ่นให้มีกลยุทธ์ในการเข้าถึงข้อมูล และทำให้ประชาชนมีแนวทางการสร้างความสุขสำหรับตนเองและชุมชนที่ชัดเจน ช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงบริการทางสุขภาพจิตได้อย่างทั่วถึง

พิธีมอบเกียรติบัตรแก่ภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตโดยชุมชนท้องถิ่น

ขณะที่ นพ.สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ประธาน มสช. กล่าวว่า มสช. ร่วมกับ สสส. รพ.ศรีธัญญา มูลนิธิบุญยงฯ และสำนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และพันธกิจสังคม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดำเนินโครงการพัฒนาความร่วมมือเพื่อขับเคลื่อนการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิตนำร่องใน 15 พื้นที่ทุกภูมิภาค โดยมุ่งเน้นควบคุมหรือลดปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ และผลการดำเนินงานได้ก่อเกิดโมเดลเชิงวิชาการ 2 ส่วน คือ 1.การสร้างดัชนีตัวชี้วัดสุขภาพจิตในชุมชนอย่างเป็นระบบ และ 2.การสร้างนักสื่อสารสุขภาพจิตในชุมชนท้องถิ่น (นสช.) ในทุกพื้นที่ ซึ่งผลการดำเนินงานนี้ จะกลายเป็นโมเดลระดับประเทศในการส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตอย่างยั่งยืนต่อไป