คณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ลุยตรวจร้านค้ากลุ่มทุนจีนเทา ย่าน “รัชดา-อาร์ซีเอ” พบผิดกฎหมายเพียบ สงสัยหญิงชาวอุบลฯถือหุ้นใหญ่ “ร้านชาบู” ทุนจดทะเบียน 18 ล้าน
วันนี้ (23 ก.ย.67) นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ตำรวจสภาผู้แทนราษฎร นำคณะร่วมกับตำรวจนครบาล / ตำรวจสอบสวนกลาง / และเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ลงพื้นที่ย่านรัชดา และอาร์ซีเอ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการ และสังเกตการณ์ การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจตรา และปฏิบัติตามกฎหมายของสถานบริการ
นายชัยชนะ กล่าวว่า ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่า มีกลุ่มคนจีนสีเทาประกอบกิจการผิดกฎหมาย สร้างความไม่สงบให้กับชุมชน ทาง กมธ.จึงมาลงพื้นที่ โดยจุดแรกที่ไปคือร้านชาบูแห่งหนึ่ง ซึ่งมีผู้ถือหุ้นทั้งหมด 5 คน ทุนจดทะเบียน 18 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นหญิงชาวอุบลราชธานี และมีผู้ถือหุ้นอื่นเป็นคนจีน 4 คน ซึ่งตนเองตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมร้านชาบู จึงมีทุนจดทะเบียนถึง 18 ล้านบาท ผู้ถือหุ้นใหญ่มีอายุเพียง 33 ปี ทาง กมธ.ต้องตรวจสอบว่า เป็นผู้ถือหุ้นจริง หรือเป็นนอร์มินี และมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ส่วนคนจีน 4 คน ที่ถือหุ้นอยู่ ต้องตรวจสอบว่า วีซ่าการลงทุนในประเทศไทยถูกต้องหรือไม่ ผู้ลงทุนที่จดทะเบียนทุน 18 ล้านบาท ได้เสียภาษีให้กับประเทศไทยหรือไม่
นอกจากนี้ ยังมีกรณีการขออนุญาตก่อสร้าง หรือต่อเติมอาคารว่า เป็นไปตามที่ขออนุญาตต่อกรุงเทพมหานครหรือไม่ หากไม่ถูกต้องผู้อำนวยการเขต ต้องระงับทันที ซึ่งจากการตรวจสอบยังพบว่า มีการขยายพื้นที่เพิ่มเติม และยังพบว่า ในร้านมีการจำหน่ายสุราทั้งผิด และถูกกฎหมาย จึงได้มอบหมายให้กรมสรรพสามิตตรวจสอบ ส่วนสินค้าในร้านไม่มีสินค้าไทยเลย หากเป็นเช่นนี้ ทำให้ประเทศไทยเสียดุลการค้า เพราะไม่มีการใช้ของไทย ดังนั้น นโยบายของรัฐบาลต้องตรวจสอบอย่างจริงจังว่า เมื่อมีผู้มาลงทุนค้าขายในประเทศ ไทยยินดีให้ต่างชาติมาลงทุน แต่ต้องเคารพกฎหมายไทย
เรื่องนี้หากไม่จริงจัง ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ขอฝากไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่สมยอมกับกลุ่มทุนจีนสีเทา ขอร้องให้หยุดพฤติกรรมนี้ ตนเองมีข้อมูลการกระทำความผิดครบถ้วน รวมทั้ง เส้นทางการเงินด้วย เราไม่เคยกีดกันให้ต่างชาติมาลงทุนในประเทศไทย แต่เมื่อลงทุนแล้ว ก็ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมายประเทศไทยด้วย
นอกจากนี้ คณะยังได้ลงพื้นที่ตรวจสอบร้านแห่งหนึ่งซึ่งเป็นร้านขายสินค้านำเข้าจากประเทศจีน พบว่า มีทุนจดทะเบียน 4 ล้านบาท และมีสินค้าหลายรายการที่ไม่ผ่าน อย. หลังจากนี้จะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบ ร่วมกับ อย. ดำเนินคดี สำหรับสินค้าที่ไม่ผ่าน อย. ตนเองในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ กมธ.ตำรวจ จะนำเรื่องนี้เข้าหารือในสภา เพื่อตราเป็นกฎหมาย ว่าในอนาคต หากมีการทำความผิดครั้งที่ 2 ควรจะมีการลงโทษจำคุก หรือเพิกถอนใบอนุญาตการจำหน่ายสินค้า เพราะขณะนี้ช่องว่างคือ มีเพียงโทษปรับอย่างเดียว
สำหรับร้านสปา และร้านนวด ที่ กมธ.ไปตรวจสอบนั้น พบว่า มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท รวมถึงอาคารที่ต่อเติมทั้งหมดได้ขออนุญาตจาก กทม.หรือไม่ พบว่า บันไดหนีไฟ ใช้เส้นทางขึ้นลงปกติ ไม่มีความปลอดภัยกับผู้ใช้บริการ จึงให้ทางกรุงเทพมหานคร และ สน.สุทธิสาร ประสานกับผู้ประกอบการให้ปรับปรุงทางเดินหนีไฟ นอกจากนี้ เมื่อขึ้นไปบริเวณชั้น 3 ของอาคาร พนักงานแจ้งว่า ไม่มีการเปิดใช้งาน แต่พบว่า มีบาร์เหล้าเก่า และเก้าอี้คล้ายเก้าอี้ในกาสิโน ลักษณะเหมือนมีการใช้งานปกติ และพบห้องหนึ่งปิดล็อกไว้ แต่มีการเปิดแอร์ ซึ่งเจ้าหน้าที่เข้าไม่ได้ เนื่องจากพนักงานแจ้งว่า ไม่มีอำนาจตัดสินใจ ทาง กมธ. จึงได้ประสานให้ สน.สุทธิสาร เข้าตรวจสอบในห้องดังกล่าวว่า พบสิ่งผิดปกติหรือไม่