หมายเหตุ ; การต่อสู้ทางการเมืองที่เต็มไปด้วยความเข้มข้นมากขึ้น เมื่อมีการใช้กลยุทธ์ผ่าน “คลิปเสียงลับ” ขึ้นมาเขย่าอีกฝั่งหนึ่ง โดยมีการเผยแพร่ผ่านสาธารณะ  ได้ส่งผลให้ความขัดแย้งระหว่าง “ขั้วอำนาจ” บานปลายมากขึ้น

“รายการสยามรัฐสัปดาหวิจารณ์” มีบทสัมภาษณ์พิเศษ “พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ให้มุมมองต่อปรากฎการณ์ทางการเมืองที่ใช้วิธีการดักฟังมาเป็นเครื่องมือ  รวมทั้งพายุการเมืองลูกใหญ่ที่ยังรอ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี คนใหม่ ในเบื้องหน้า โดยออกอากาศผ่านช่องยูทูบ Siamrathonline  เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา

-ได้ฟังคลิปเสียงคล้ายลุง แล้วประเมินว่ามีอะไรที่แปลกใจกว่าที่คาดเอาไว้หรือไม่

ได้ฟังแล้ว โดยส่วนตัวก็ไม่ได้แปลกใจ และลักษณะเสียงในคลิปดังกล่าว ไม่ใช่การดักฟัง แต่เกิดจากมือมืดที่ร่วมประชุมพูดคุยกันภายในห้องด้วยกันแล้วแอบอัดเสียงเอาไว้ แล้วเอามาปล่อยในจังหวะที่สถานการณ์ตอนนี้ เมื่อเห็นว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ มีการไปรุกเรื่องการจัดการคุณเศรษฐา ทวีสิน แล้วก็มองว่าจะมาจัดการกับรัฐบาลชุดนี้

ซึ่งมีข้อมูลที่พอจะต่อกันได้ว่า มีข้อมูลสำคัญ ที่ทำให้เห็นความสัมพันธ์กันว่าเสียงในคลิปนี้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการจัดการรัฐบาล

-เป็นไปได้หรือไม่ที่อาจจะเป็นคนใกล้ตัว พล.อ.ประวิตร เอง และจะชี้ให้เห็นได้หรือไม่ว่า จากนี้ต่อไป การเมืองจะไปถึงจุดใด

ชี้ให้เห็นเลยว่า วิธีการแบบนี้เท่ากับเป็นการแบ่งฝ่ายแล้ว ไม่รักษามิตรภาพต่อกันแล้ว จริงๆแล้วจากเสียงที่ออกมา เชื่อว่าคนที่อยู่ในห้อง ในกลุ่มนั้นรู้แล้วว่าอัดมาจากใคร และปัจจุบันนี้พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นพรรคที่แบ่งออกเป็นสองซีกแล้ว  ประกอบกับสถานการณ์ก็รู้ชัดว่าใครจะไปอยู่ปีกไหน อย่างไร และเมื่อมีข่าวว่าทางพล.อ.ประวิตร มีแนวโน้มจะคว่ำรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร จึงต้องรีบดับเสียก่อน ซึ่งเมื่อครั้งรัฐบาลเศรษฐา เห็นได้ชัดว่าพล.อ.ประวิตร มีความมุ่งหมาย ต้องการดูแลจัดการข้าราชการเพื่อเตรียมจะเป็นเบอร์หนึ่ง จากนั้นก็ลามไปสู่การคว่ำรัฐบาลเศรษฐา

ดังนั้นเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นคุณแพทองธาร จึงต้องมีการเอาคืน เพื่อดักคอ หลังจากที่มีการส่งสัญญาณว่าจะมาคว่ำรัฐบาลแพทองธาร อีกทางฝั่งรัฐบาลจึงดักทางเสียก่อน

-สิ่งที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ถามว่าพรรคเพื่อไทยจะได้อะไรจากตรงนี้

สิ่งที่ได้ คือการป้องปรามว่ารู้ทันนะ และมีการเตรียมมาตรการโต้ตอบเหมือนกัน แต่จากการที่มีการเอาคลิปมาเปิดแบบนื้เป็นการดิสเครดิต และชี้ให้เห็นว่าบิ๊กป้อมอยู่เบื้องหลัง และยังทำให้เห็นว่า ทางฝั่งรัฐบาลเองก็มีศักยภาพที่สืบสภาพได้ว่าฝั่งบิ๊กป้อม กำลังเคลื่อนไหวอะไรอยู่ และยังพร้อมที่จะมีมาตรการโต้ตอบตามมาอีก

-แสดงว่ายังมีคลิปอื่นๆอีก

แน่นอนเลย เพราะที่เราดูจะพบว่าคลิปที่ถูกปล่อยออกมา มีทั้งช่วงเวลาย้อนหลังไป ช่วงปานกลางและช่วงใหม่ แสดงว่าไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ซึ่งคนใน วงในเองก็พอที่จะรู้กันแล้วว่ายังมีคลิปอีก ที่พร้อมจะถูกปล่อยออกมา

-ก่อนหน้านี้รายการของจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชนเองก็เคยบอกว่ามีคลิปที่เกี่ยวกับบ้านจันทร์ส่องหล้า คลิปการสนทนากันระหว่างบิ๊กป้อมกับคุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขณะที่คุณทักษิณ ยังหลบหนีอยู่นอกประเทศ และมีการพูดคุยเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลด้วย

ผมยังไม่ได้ฟัง แต่เชื่อว่ามี เพราะเมื่อพิจารณาจากองค์ประกอบรัฐบาลชุดปัจจุบันที่มีการจับมือข้ามขั้ว มันประกอบจากหมู่คนที่ไม่ไว้วางใจกันอยู่แล้ว ไม่รักษาสัจจะวาจา เมื่อคนกลุ่มนี้มาอยู่ด้วยกัน จึงต้องระวังกันเองตลอด เพื่อป้องกัน เพื่อเกทับกัน และเพื่อใช้ในการต่อรอง

ดังนั้นจึงเชื่อว่าในบรรยากาศเช่นนี้ จะต้องมีการเก็บพยานหลักฐานต่างๆ เอาไว้ เพราะต่างไม่ไว้วางใจกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างปฏิบัติการซึ่งกันและกัน ต่างอุบไต๋เอาไว้ และจะนำมาใช้เมื่อมีความจำเป็นหรือเมื่อต้องมีการต่อรองกัน  เชื่อว่าจากนี้ประชาชนจะได้เห็นอะไรอีก

ยกตัวอย่างง่ายๆ คือกรณีที่คุณทักษิณ โดนคดีมาตรา 112 ซึ่งเชื่อว่าตัวท่านเอง ก็คงไม่คิดว่าจะมีใครไปอัดเทปเพราะตอนนั้นอยู่ต่างประเทศ  ปรากฏว่าคิดว่าเป็นคำร้องเฉยๆ ไม่มีคลิป ไม่มีเทป แต่กลายเป็นว่าคำร้องนั้นถูกถอดออกมาจากเทป จากคลิปที่คุณทักษิณ พูด ท่านจึงพูดขึ้นมาว่ามีการอัดเทปเอาไว้ด้วยหรือ ตอนนั้นอยู่ต่างประเทศ

แต่ตอนนี้อย่าลืมนะว่าท่านมาอยู่ในประเทศไทยแล้ว และการประกอบกันของรัฐบาลนี้อยู่กันอย่างหลวมๆ อย่างกรณีพล.อ.ประวิตรจะเห็นได้ชัดเลยว่ากรณีที่พรรคเป็นพรรคอกแตก จะเกิดความไม่วางใจกัน เมื่อรับปากอะไรกัน ก็ต้องมีการเก็บพยานหลักฐานเอาไว้ แม้แต่กรณีพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทยเอง ที่คุณทักษิณเคยมีการรับปากกันเอาไว้  แต่กรณีนี้ยังไม่มีเทป พอมาถึงจุดที่ว่าที่รับปากไว้ ไม่ทำเสียที หรือการที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปเยี่ยมที่ชั้น 14 ท่านจะเก็บเสียงเก็บภาพเอาไว้หรือไม่ เราก็ไม่รู้

เรื่องลักษณะแบบนี้มันจะเริ่มกระจ่างมากขึ้น เมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาจบ จะมีนักร้อง ส่งสัญญาณออกมาว่าประเด็นไหนเป็นประเด็นเด็ด แล้วมีโอกาส ที่จะนำไปสู่การคว่ำรัฐบาล เชื่อว่าจะมีหมัดน็อค ตามมา ซึ่งต้องสังเกตคำร้อง และคณะที่ไปร้องให้ดีแล้วจะรู้ว่า เรื่องไหนจะเป็นประเด็นหลักที่จะจัดการคุณแพทองธาร เรื่องไหนจะเป็นประเด็นที่จะจัดการผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ คือคุณทักษิณ แต่ที่ยื่นคำร้องกันอยู่ตอนนี้คือการทำให้เป็นกระแสและทำลายสมาธิเบื้องต้น

เหตุที่ต้องจับตาช่วงหลังจากแถลงนโยบายจบ เพราะจะมีปัจจัยเพิ่มเติมที่ตัวรัฐมนตรี ที่มีการโปรดเกล้าฯลงมาแล้ว และรัฐมนตรีคนนั้นมีตำหนิ เรื่องฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง เรื่องไม่ซื่อสัตย์สุจริต จะกลายเป็นตัวละครเพิ่มขึ้นมา เหมือนครั้งที่อดีตนายกฯเศรษฐา แต่งตั้งคุณพิชิต ชื่นบาน แต่ครั้งนี้จะไม่ใช่มีรัฐมนตรีคนเดียว แต่จะมีหลายคน แต่ดีไม่ดี ความโชคร้ายอาจจะไปเกิดกับรัฐมนตรีต่างพรรคเสียด้วย อาจจะพากันพังไปทั้งหมดเลย

ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นการตีความอย่างกว้าง ขณะที่ทางกฤษฎีกาเองก็ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า จุดไหนผิดจริยธรรมหรือไม่ เพียงแต่ให้ความเห็น ให้ข้อสังเกต แต่อำนาจการชี้ อยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ อยู่ที่คณะกรรมการป.ป.ช. ก่อนที่จะไปจบที่ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  ฉะนั้นส่วนราชการของฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจชี้ขาด เพียงแต่ตั้งข้อสังเกตว่าคนนี้เคยถูกกล่าวหา เคยถูกดำเนินคดีในอดีต เป็นที่ล่อแหลม แต่ไม่สามารถชี้ขาดได้ว่าจะผิดจริงๆ ดังนั้นจุดนี้จึงเป็นความสุ่มเสี่ยงที่รัฐบาลจะต้องรองรับ

-รัฐบาลชุดนี้จะไปไวหรือไม่ แนวรบในส่วนของพรรคเพื่อไทยเองก็เตรียมเรื่องกฎหมายด้วย

ถ้าเราย้อนหลังกลับไป จะเห็นได้ว่าการเตรียมการของฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย นั้นแพ้ทุกเรื่อง เมื่อประสบภัยจากองค์กรอิสระ และขอให้สังเกตว่ารัฐบาลชุดนี้พยายามที่จะใช้การสื่อสารโดยเครื่องมือของตนเองแล้วขยายแนวร่วม แต่ในส่วนของสื่อออนไลน์ จะเห็นว่ารัฐบาลไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่การรุกได้เลย มีแต่ตั้งรับอย่างเดียว เราต้องยอมรับว่าโซเชียลมีเดีย เกิดขึ้นง่าย  มากและหลากหลาย ฉะนั้น รัฐบาลจะไม่มีกลไกที่ไปรองรับส่วนนั้นได้ทันเวลา

จะสังเกตได้ว่าเวลานี้รัฐบาลมีแต่ถูกโจมตี แล้วที่ออกสื่อได้จริงๆก็มีแต่สื่อของรัฐเท่านั้น และสื่อของพรรคเพื่อไทย แต่สำหรับสื่อสาธารณะทั่วไป เกือบจะเป็นของฝั่งตรงข้ามรัฐบาลไปหมดเลย แต่เป็นข้อตรงกันข้ามที่เป็นข้อเท็จจริง ของความไม่พึงพอใจจากประชาชน ทั้งต่อนโยบายและพฤติการณ์ของรัฐบาล โดยเฉพาะการไปให้สัญญาประชาคมกับประชาชน แล้วต่อมา กลับขั้วกลับข้าง จุดนี้บอกได้เลยว่ามันเป็นมะเร็งร้าย เกาะกินรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่ตลอดเวลา  เพียงแต่ว่าถ้าทำดีขึ้นมา มะเร็งตัวนี้ก็หยุด แต่ไม่ได้หายไป  แต่พอเพลี่ยงพล้ำ  มะเร็งก็กัดกินอีก ทำให้ร่างกายก็ยิ่งทรุดลงไปเรื่อย ตรงนี้จึงค่อนข้างอันตราย และเป็นการยากที่จะตอบโต้

ส่วนการที่นักสันทัดกรณีทางการเมืองบอกว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ไม่นาน เพราะดูแค่คุณเศรษฐา โดนคดีเดียวยังน็อคไปเลย ขณะที่คุณแพทองธารเอง เพิ่งเริ่มต้นตั้งรัฐบาล มีคดีร้องเรียนเป็น 10 คดีไปแล้ว และหลังจากนี้จะมีตามมาอีก แค่นี้ก็กระทบต่อสมาธิและความเชื่อมั่นของการทำงานมากแล้ว ซึ่งข้อหา และข้อกล่าวหา ก็ใกล้เคียงกับกรณีคุณเศรษฐา ที่จะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องได้  และเมื่อไปถึงตรงนั้นนายกฯจะเสียสมาธิทำงานแล้ว

และหากโชคร้ายถึงขั้นที่ว่าเมื่อมีการรับคำร้องแล้วศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็จบเลย เพราะจะไม่มีพลังขับเคลื่อนเลย เราต้องยอมรับว่ารัฐบาลชุดนี้ขับเคลื่อนโดยผู้นำจิตวิญญาณ คือคุณทักษิณ แล้วใช้สัญลักษณ์คือคุณแพทองธาร แต่ถ้าคุณแพทองธาร ขับเคลื่อนต่อไม่ได้ก็จะส่งผลต่อคนที่เหลือตามมา

ที่สำคัญวันนี้พรรคเพื่อไทย ไม่ได้อยู่ในฐานะเบ็ดเสร็จเหมือนในอดีตที่มี 377 เสียง ซึ่งใช้ชุดความคิดมาประกอบกำลัง แต่สำหรับเสียงรัฐบาลผสมวันนี้มี 320 เสียง แต่กลับไม่แน่น เพราะพรรคเพื่อไทยมีแค่ 140 คน และอะไรที่เป็นนโยบายสุ่มเสี่ยง ไม่ตอบสนองซึ่งกันและกัน ก็จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลนำมาต่อรองกันอีก จุดนี้ก็จะมีปัญหาได้ จุดนี้จึงเป็นความล่อแหลมที่จะบอกได้ว่าทำไมรัฐบาลชุดนี้จึงจะอายุสั้น

โดยเฉพาะคดีที่มีการไปเทียบเคียงได้ที่มีความล่อแหลมว่าจะสามารถถูกน็อกได้ เช่นกรณีที่ดินของวัด สนามกอล์ฟอัลไพน์ ถ้าไปเทียบเคียงกับคดีของคุณปารีณา ไกรคุปต์ อดีตสส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่รับมรดกที่ดิน ซึ่งเป็นที่ส.ป.ก. มาจากพ่อ จริงๆแล้ว มันต่างกันแค่การเป็นที่วัด กับที่ดินส.ป.ก.เท่านั้น หากเปลี่ยนชื่อตัวละคร เชื่อว่าคำวินิจฉัยของศาลก็ควรจะจบไปแนวเดียวกันด้วยซ้ำ ซึ่งคุณปารีณา ถึงได้พูดว่า ตนเองยังโดน เรื่องความผิดทางจริยธรรม ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต  ทั้งที่รับมรดกจากพ่อ  และเมื่อเทียบเคียงให้เห็นกรณีคุณแพทองธาร พบว่าไม่ได้แตกต่างกัน เพียงแต่เปลี่ยนจากที่ส.ป.ก.เป็นที่วัด และเปลี่ยนตัวละครจากปารีณาเป็นคุณแพทองธาร ดังนั้นคำวินิจฉัยจึงอาจเป็นแนวเดิมได้ ด้วยเหตุนี้จึงถูกมองว่าอายุของรัฐบาลอาจสั้น

อีกทั้งกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ต่างจากศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ต้องใช้เวลานานกว่า แต่ศาลรัฐธรรมนูญ ใช้เวลาไม่กี่เดือน และหากเป็นตัวอย่างซ้ำ ก็ยิ่งง่าย ยกตัวอย่างเหมือนกับกรณีพรรคก้าวไกลถูกยุบ ซึ่งมีแนวคำวินิจฉัยอยู่แล้ว ทางด้านกกต.จึงเอามาเป็นตัวตั้งแล้วยื่นคำร้องยุบพรรคไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ โดยไม่ต้องมีการสืบสวน ไต่สวน เพียงเอาคำวินิจฉัยเดิมที่ศาลเคยมีมาแล้ว ยื่นคำร้องกลับไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร จึงหมายรวมศาลรัฐธรรมนูญด้วย จึงนำมาสู่การยุบพรรคก้าวไกล

ขณะที่คดีของคุณทักษิณ ก็มีข่าวว่าจะจบเร็วในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งเมื่อคดีคุณทักษิณ จบเดือนตุลาคม ก็กระทบตัวนายกฯแพทองธาร โดยคดีคุณทักษิณ ก็เอาคดีที่องค์กรอิสระเคยยื่นคำร้องซึ่งกันและกัน กรณีชั้น 14 เวลานี้คณะกรรมการป.ป.ช. มีคำร้องจากกรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) ก็รอเพียงข้อมูลจากแพทยสภา เพิ่มเติม จากนั้นยังมีกรณีที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เคยให้ข่าวว่าขึ้นไปพบคุณทักษิณ  ที่รพ.ตำรวจ ชั้น14 ซึ่งป.ป.ช.ก็จะเชิญพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ไปให้ข้อมูล  จนในที่สุดก็ครบองค์ประกอบ จนไปสู่การที่ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด จากนั้นส่งเรื่องไปยังศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทุกอย่างก็จบ

ฉะนั้นคดีของคุณทักษิณ เมื่อจบลงแล้ว จะมาสู่การที่คุณแพทองธาร ต้องเจอกับความล่อแหลม 2 ประเด็น คือ1. เรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ และ2.คือการถูกคุณทักษิณ ครอบงำ ซึ่งคุณทักษิณ ก็เคยพูดเองว่า ไม่ได้ครอบงำแต่ครอบครอง ซึ่งหมายความว่าเป็นกรรมสิทธิ์เลย หนักกว่าการครอบงำ ไม่ว่าจะพูดเล่นหรือไม่ แต่นักร้องจะเอาสิ่งต่างๆเหล่านี้มีประกอบคำร้อง ไล่เลียงกันมา ทั้งการทำนโยบายรัฐบาล ที่เกิดขึ้นหลังคุณทักษิณ ไปแสดงวิสัยทัศน์ ถูกมองว่าลอกกันมา หรือการที่พรรคร่วมรัฐบาลเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อหารือเรื่องตั้งรัฐบาล รวมถึงเมื่อเห็นหน้าตาครม.ก็สามารถตอบได้แล้วว่า คนเหล่านี้คุณแพทองธาร ไม่สามารถตั้งขึ้นมาได้แน่นอน แม้นายกฯอาจจะบอกเลือกเอง แต่ก็ต้องไม่ใช่เกิดภาพครม.วงศาคณาญาติขึ้นมา ต้องเป็นคนรุ่นใหม่จริงๆ

-หากประเมินว่านายกฯแพทองธาร มีสิทธิไปเร็ว ดังนั้นโอกาสของลุงที่อยู่บ้านป่าฯ จะมีสิทธิหรือไม่

เชื่อว่าลุง เองก็คงรู้แล้วว่า ถึงอย่างไร ตัวเองก็คงไปต่อไปไม่ได้แล้ว เรียกว่าเรื่องเป็นนายกฯนั้นหมดโอกาส แต่ที่จะทำคือการแก้แค้นคืน การจัดการคว่ำรัฐบาลจะไม่ทิ้งไป และสิ่งที่คนจะมองต่อไป คือเมื่อแพทองธาร หลุดเก้าอี้นายกฯไปแล้วจริง ๆ จะเป็นอย่างไรต่อ จะเปลี่ยนนายกฯคนใหม่ โดยเป็นคนของพรรคเพื่อไทย ที่ยังมีแคนดิเดตเหลืออยู่อีกคนหนึ่งหรือไม่ หรือจะข้ามไปที่พรรคร่วมรัฐบาล คือคุณอนุทิน ชาญวีรกูล หรือจะวงแตกด้วยกันทั้งหมด คือการยุบสภา เชื่อว่าหลายคนคงมองข้ามช็อตไปกรณีเหล่านี้แล้ว

สำหรับคุณแพทองธารเอง มองว่ามีความละเอียดอ่อนมากกว่าคุณเศรษฐา คือดูแล้วว่าคำร้องที่มีการยื่นเข้ามามีความสุ่มเสี่ยง เชื่อว่า คุณแพทองธาร จะมีเงาข้างหลังคือ คุณแม่ของเธอ ที่จะไม่ยอมให้ลูกสาว มีจุดจบแบบพ่อ หรือคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นอา ก็อาจจะให้คุณแพทองธาร ไปก่อน เชื่อว่าจะไม่มีการออกมาในลักษณะท้าชน และแม้แต่ตัวคุณทักษิณ เองก็คงไม่อยากให้ลูกสาวมีจุดจบเหมือนกรณีคุณเศรษฐา ว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต ฝ่าฝืนจริยธรรมอย่างร้ายแรง ดังนั้นในกรณีของคุณแพทองธาร เชื่อว่าหากมีแนวโน้มที่คดีจะไปตามแนวนี้ ทั้งพ่อแม่ คงไม่ปล่อยให้ลูกไปถึงจุดนั้น ถึงขั้นที่ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา เพราะจากคำวินิจฉัยชั้นนี้ ก็จะไปถึงศาลฎีกา ต่ออาจถึงขั้นมีความผิดติดคุก

ดังนั้นในห้วงเวลานี้อาจจะมีการยุบสภาฯ แล้วเลือกตั้งใหม่ แต่ในส่วนของสส.เองก็ไม่มีใครอยากเลือกตั้งใหม่ เพราะอาจจะแพ้พรรคประชาชนอีก ขณะที่ทางด้านพรรคประชาชน เองก็ยังมีคดีที่ 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ถูกร้องกรณีไปเข้าชื่อเพื่อแก้ไขกฎหมาย ม.112 อีก ก็กลัวว่าจะมีการยุบพรรคประชาชนตามมาอีก แล้วถ้าไปเกิดขึ้นในห้วงที่ใกล้กับการยุบสภาฯ ก็จะมีปัญหาตามมาอีก เพราะจะไม่สามารถส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งได้ ห้วงเวลาดังกล่าวนี้ทุกอย่างจะเคร่งเครียดไปหมด