ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“ชีวิต...มีเงื่อนไขแห่งความมีความเป็นมากมาย  ที่มีโอกาสจะประกอบสร้างขึ้นเป็นตัวตนของเรา ไม่ขณะใดก็ขณะหนึ่ง..สิ่งต่างๆที่จะเสริมส่งให้เกิดค่าความหมายของชีวิตนั้น..ย่อมคือความจริงเชิงประจักษ์ ที่คนเราจำเป็นต้องเรียนรู้ในเชิงประสบการณ์อันล้ำลึกอยู่เสมอ เรียนรู้จากความจริงเหนือความจริง เรียนรู้จาก โครงสร้างอันเปราะบางและเสื่อมทรูดของชีวิต กระทั่งเรียนรู้จากจิตวิญญาณอันสลับซับซ้อนภายใน..

ทุกๆองคาพยพของอารมณ์ควารู้สึกเบื้องต้น..ล้วนมีความรู้สึกเป็นเครื่องชี้ทางต่อตัวตนของเรา..บางครั้งมันกว้าง..ให้ตัวตนมองดูยิ่งใหญ่ไพศาลทั้งด้วยอัตตะ และภาวะนิยมส่วนตัว  แต่อีกหลายๆขณะมันก็ทำให้เราเรียวเล็กลงอย่างเหลือเชื่อ ด้วยความไม่มั่นใจ และ โครงสร้างแห่งการรับรู้ในรู้สึกอันเปราะบางของชีวิต..

การกลายสภาพเป็นดั่ง “คนตัวเล็ก” ในลักษณะนี้..จึงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาว่า..เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร?..เป็นคนในสถานะที่สมควรจะเป็นอย่างไร? ..ศักยภาพที่จักต้องแยกแยะพิจารณานี้คือ ศาสตร์แห่งการศึกษาที่จะสร้างความหมายต่อข้อประจักษ์ของชีวิตว่า..แม้เราจะมีชีวิตที่ตีบตันด้วยสถานการณ์ใดก็ตาม เราก็ย่อมมีฟ้ากว้างแห่งความหวังของชีวิต..เปิดรับตัวตน..อย่างพิสุทธิ์พิศาลเสมอ.!..”

“อย่าพยายามเป็นในสิ่ง...ที่ไม่ใช่ตัวของเรา..”..คือสาระสำคัญอันหนึ่งที่ประกอบสร้างขึ้นเป็นหนังสือแห่งสำนึกคิดที่ทั้งน่าอ่านและชวนสืบค้นติดตาม.. “วิชาคนตัวเล็ก” (Small Rules ) ผลงานเขียนอันเปิดกว้างและลุ่มลึกของ.. “พูนลาภ อุทัยเลิศอรุณ” ผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์วีเลิร์น..ผู้ระบุว่า.. “เราเชื่ออะไร เราทำอะไร ทั้งหมดอยู่ในเล่มนี้!” ..ทางสำคัญของหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย..การวิ่งตามจังหวะบวกของตัวเอง../จงขอบคุณข้อจำกัดของชีวิต/จงเปล่งประกายจากมุมมืด/จงฝึกซ้อมบนคู่แข่ง/จงนำด้วยคำถาม/จงใช้วิธีคิดของคนที่ฆ่าไม่ตาย/จงเลิกมองคนเป็นวัตถุสิ่งของ/และ..จงสู้แบบฮันนี่แบดเจอร์ สัตว์ที่ไม่กลัวเกรงอะไรบนโลกนี้..บริโภคงูและแมงป่อง เป็นอาหาร..ฯลฯ

ความคิดโดยรวมจากหนังสือเล่มนี้..จะช่วยให้ “คนตัวเล็ก” เอาชนะอุปสรรคที่ใหญ่เกินตัว.. “เปลี่ยนความเล็กจ้อยของตัวเอง...ให้เป็นข้อได้เปรียบ”.. ในวิถีสำคัญของหนังสือเล่มสื่อสารถึงประเด็นสำคัญ อันน่าศึกษาและจดจำ...นับแต่..ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองไปเป็นคนอื่น..เนื่องเพราะ มนุษย์เราทุกคนล้วนมีตัวตนที่แตกต่างกันเสมอ..ไม่ว่าต่างจะอยู่ในวงการไหนก็ตาม ..ให้ระลึกไว้เสมอว่า สิ่งที่เป็นสัจธรรมชีวิตที่สุดของเราในความแน่นอนนั้น..ก็คือความไม่แน่นอน..มันเป็นเช่นนี้เสมอ..หากได้เรียนรู้และสัมผัสกับมันอย่างลึกซึ้ง สัจธรรมจะตอกย้ำกับเราทุกคนอย่างไม่มีวันตายเสมอ..

..ในการเป็นชีวิตหนึ่งนั้น..จงอย่าปฏิเสธความท้าทายเป็นอันขาด..แต่ขอให้จงออกสำรวจ “ความเป็นไปได้ใหม่ๆ” อยู่เสมอ..ถ้าบังเกิดควาผิดพลาดล้มเหลวขึ้นมา ก็จะไม่ต้องเสียใจ..ให้คิดเสียว่ามันเป็นบทเรียน ที่ช่วยให้เราบังเกิดภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งขึ้น..ในครั้งต่อไป..

*..ถ้าไม่เคยล้มเหลวในชีวิต ก็ต้องรู้สึกถึงความเสียใจ ด้วยนั่นมันเท่ากับว่า.. “เราได้พลาดโอกาสที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดแล้วล่ะ”

*หากแม้ชีวิตจะล้มเหลวในสายตาคนอื่นก็ช่างมัน ขอเพียงแต่อย่าล้มเหลวในสายตาของตนเองก็พอ

*ในทัศนะของ “ขงจื๊อ” ..คนที่ตั้งคำถามจะดูโง่ไปหนึ่งนาที..แต่คนที่ไม่ถามจะโง่ไปตลอดชีวิต..เหตุนี้คำถามจึงคือ ประกายไฟแห่งจิตปัญญาของชีวิต ที่จะเสริมส่งให้ตัวตนของชีวิตมีความหมายอันเปี่ยมเต็มไปด้วยพลังยิ่งขึ้น..

นอกเหนือไปจากนี้...ความคิดจาก “วิชาคนตัวเล็ก” ยังสามารถย่อส่วนความโอหังการ์ของชีวิตลงสู่เบ้าหลอมแห่งธรรมชาติของการเรียนรู้ที่ชวนพินิจพิเคราะห์ ซึ่งยิ่งลงลึกถึงรากเหง้าทางกระเเสสำนึกแล้ว..บางสิ่งที่ก่อเป็นทักษะอันเป็นคุณประโยชน์ก็จะสำแดงผลออกมา..อย่างมีสัมฤทธิผล..ในที่สุด...ไม่ว่าเราอยากจะเก่งในเรื่องอะไร..ต่อให้ไม่มีทักษะหรือความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้นเลย..เราก็สามารถเก่งขึ้นได้ด้วยการ..ลงมือทำ...นั่นจึงเท่ากับว่า ทุกคนสามารถจะประสบความสำเร็จได้ โดยที่ไม่ต้องละทิ้งสิ่งที่ตัวเองเป็น..

*..โลกนี้กลมกว่าที่คุณคิด ถ้าสร้างมิตรไม่ได้ก็อย่าสร้างศัตรูดีกว่า จงทำดีกับทุกคน ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

* ถ้าหากได้ผลลัพธ์ ที่สร้างความสั่นสะเทือนกว่านี้..ลองพา “ไอเดีย” ไปให้ไกล..พาไปจนถึงจุดที่เริ่มรู้สึกไม่มั่นใจ..เพราะว่าในการคิดสร้างสรรค์นั้น..ความมั่นใจ...ไม่เคยมีอยู่จริง..และสุดท้ายตรงส่วนนี้.. “หลิว เต๋อ หัว” นักแสดงฝีมือเยี่ยมชาวฮ่องกง..ได้ประกาศเน้นย้ำถึงว่า... “ผมไม่กล้าพูดว่าเหนื่อย..เพราะคนที่เก่งกว่าผม..เขายังพยายามเลย..”

ในที่สุดเราก็อาจจะหาข้อสรุปท้ายได้อย่างถึงแก่นแท้ว่า...ย่อมไม่มีใครเกิดมาแล้วคิดไอเดียเจ๋งๆได้เลย..เพราะทุกอย่างบนโลกนี้ ล้วนต้องถอดออกจากไอเดียที่เคยมีอยู่และเป็นอยู่แล้วทั้งสิ้น..

*ถ้ารู้สึก ภูมิใจในงานที่ทำ รู้สึกภูมิใจในความสำเร็จที่เราสร้างขึ้น แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เรารัก..มีความสุข..กับอาชีพของเรา..

* “เวย์น ไดย์เออร์” ..ผู้เขียนหนังสือในแนวจิตวิทยา พัฒนาตัวเอง “อยู่อย่างปาฏิหาริย์” ได้ระบุเหมือนเป็นข้อสรุปสำคัญต่อ “วิชาคนตัวเล็ก” ว่า.. “เปลี่ยนวิธีมองโลก..แล้วโลกของคุณจะเปลี่ยนไป”

หากคิดว่า..ตัวเองรู้เยอะที่สุด.เก่งที่สุด นั่นย่อมหมายความว่า.. “คุณอยู่ในโลกแคบของตัวเอง..เกินไปมาก...”

ความงามทางความรู้สึกของหนังสือ.. “วิชาคนตัวเล็ก” อยู่ที่ท่าทีแห่งการโอบประคองของมัน..จากความคิดที่เป็นความคิด จากท่าทีแห่งการกระทำที่ค่อยๆสะสมวิจารณญาณทางความคิดเพื่อการมองโลกแห่งตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป..หลายสิ่งคือตัวอย่างของการผสานสำนึกระหว่างข้อปฏิบัติกับความคิด ระหว่างความจริงกับความลวง หรือ ระหว่างความรู้กับความไม่รู้อันอาจจะเกิดขึ้นได้ท่ามกลางวิกฤตแห่งยุคสมัยในแต่ละคืนวัน..

การรู้จักขอบเขตแห่งการปลดปลงเท่านั้น..ที่จะทำให้การมีชีวิตมีเจตจำนงที่ชัดเจนขึ้นมาได้..ระหว่างและท่ามกลางความรู้ตัวทั่วพร้อม ที่จักบังเกิดเป็นสายทางแห่ง “ธรรมทัศน์” บนพื้นฐานแห่งโลกสมัยที่ถูกปลูกสร้างและติดตรึงเป็นตราประทับแห่งชีวิตเอาไว้..!

กล่าวคือ..ต้องเติบโตจากข้างใน เพราะถ้ารับคำแนะนำจากภายนอกของตัวเองแล้ว ก็จะทำให้เราหลงทางได้..การเติบโตที่แท้จริง

*การเติบโตที่แท้จริงจะเติบโตจากภายในด้วยตัวตนเท่านั้น..

*อย่าฟังเสียงเฉพาะเพียงลูกค้า..อย่าฟังเสียงเฉพาะจากภายในอก..แต่ต้องให้เสียงจากข้างในเป็นเข็มทิศ ให้ประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมา รวมทั้งข้อมูลที่ธรรมดาเป็นเครื่องนำทาง..เพราะแท้จริงแล้ว..ลูกค้าก็แค่ตอบความคาดหวังของพวกเขาเอง..เท่านั้น..

*ให้รู้อย่างแน่ชัดว่า..จะขายอะไรต่อใคร?...หากเป็นกลยุทธ์ต้องเป็นอารมณ์ และหากเป็นการตลาดแล้วก็ต้องเป็นองค์ประกอบหลัก

*จะต้องสู้อย่างไม่ถอย กัดไม่ปล่อย จะต้องไม่ยอมแพ้จนกว่าจะถึงที่สุด นี่คือจิตใจของ"สัตว์เถื่อน"(Monster Mentality)ที่จะไม่ยอมแพ้ต่ออะไทั้งสิ้น..

ซึ่งก็จะส่งผลทำให้ชีวิตแกร่งขึ้น สร้างภูมิคุ้มกันได้ และทำให้ชีวิตของเราแข็งแกร่งพอ..เปิดโอกาสให้คนที่ล้มแล้วได้ลุกขึ้นมา สามารถสร้างภาพแห่งความประทับใจได้มากกว่า..เพราะมันคือความจริงเสียยิ่งกว่าจริง..!

นี่คือภาพแสดงของสาระแห่งหนังสือเล่มหนึ่งที่ยิ่งอ่านก็ยิ่งจะซึมซับ..ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งจะก่อผัสสะเปรียบเทียบทางความคิด ที่เร้นลึกและเป็นคุณูปการต่อจิตใจ..ยิ่ง

“ยิ้มให้กับความล้มเหลว..มันทำให้เรารู้ตัวเองว่า..ไม่สุดยอดขนาดนี้น ความล้มเหลวจะดึงเราจากความเพ้อฝัน..ทำให้เราเก่งขึ้น กล้าออกจากพื้นที่ตัวเอง..สบายใจที่จะก้าวออกมา..เพื่อทำอะไรที่ไม่เคยทำ..มาก่อน!!!”