เกิดเหตุสองผู้ต้องขังคดียาเสพติด แหกห้องขัง สน.พญาไท หลบหนีขึ้นรถสีแดงออกไปช่วงกลางคืนที่ผ่านมา ทำทีปวดท้อง ขอยืมโทรศัพท์สิบเวรโทรหาญาติเอายา ก่อนอาศัยจังหวะล็อกคอ และขังสิบเวรในห้องขังแทน ท้ายสุดถูกกดดัน จนขอมอบตัวที่ สภ.สีดา โคราช คุมตัวกลับมา สน.พญาไท
เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สน.พญาไท คุมตัวนายอ้น อายุ 23 ปี และ นายนิพนธ์ อายุ 31 ปี กลับมาถึงที่ สน.พญาไท เมื่อช่วง 13.50น. ที่ผ่านมา หลังจากหลบหนีแหกห้องคุมขังไปเมื่อตอนตี 01.30น. ของวันนี้ โดยใช้เวลาปฏิบัติการนับตั้งแต่ที่หนีออกไปจนถึงมอบตัวประมาณเกือบ 5 ชั่วโมง
ซึ่งระหว่างที่เดินเข้าห้องสืบสวน ทีมข่าว ได้สอบถามนายนิพนธ์ ซึ่งลงจากรถ ว่าตั้งใจวางแผนการหลบหนีหรือไม่ นายนิพนธ์ บอกว่า “เปล่าครับ ขอโทษครับ สำนึกผิดแล้วครับ ไม่ได้ตั้งใจทำให้สิบเวรเดือดร้อน ขอโทษด้วยครับ” เมื่อสอบถามตั้งใจจะหลบหนีไปไหน นายนิพนธ์ก็ไม่ตอบคำถามใด ๆ ส่วนนายอ้น ที่คุมขึ้นรถมาอีกคัน ทีมข่าวพยายามสอบถาม แต่เจ้าตัวไม่ตอบคำถามใด ๆ
โดยหลังแหกห้องขังที่ สน.พญาไท ก็ถูกกดดันหนัก จึงติดต่อขอมอบตัวที่ สภ.สีดา จังหวัดนครราชสีมา
พลคำรวจตรี อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 ระบุว่า ผู้ต้องขังทั้ง 2 คือ นายอ้น และ นายนิพนธ์ ถูกตำรวจชุดสืบสวนสอบสวนนครบาล จับกุมได้พร้อมไอซ์ประมาณ 80 กิโลกรัม เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ก่อนถูกแจ้งข้อหา ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอง และถูกคุมตัวมาฝากควบคุมที่ สน. พญาไท เนื่องจากสืบนครบาลไม่มีสถานที่ควบคุม
จากนั้นวันที่ 18 กันยายน เวลา 11:00 น. ชุดสืบสวนนครบาล ได้เบิกตัวผู้ต้องขังทั้งสองคน ไปสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม ก่อนจะคุมตัวกลับมาฝากควบคุมที่ สน. พญาไท ในเวลา 23:00 น. โดยมีสิบเวรที่เฝ้าบริเวณหน้าห้องขัง ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนเวรในเวลาเที่ยงคืน และมี ร่อยตำรวจตรี รุ้งระวี เป็นสิบเวรห้องขัง
ต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษ ก็มีชายคนหนึ่ง เอาของใช้มาฝากให้กับผู้ต้องหาทั้งสองราย โดยเอาของมาฝากผ่านสิบเวร และไม่ให้เข้าเยี่ยม เนื่องจากว่าเลยเวลาแล้ว สิบเวรจึงรับของไว้ และเอาของใช้ส่วนตัวไปให้ผู้ต้องหา
จนกระทั่งเวลาตีหนึ่งเศษ จากการตรวจสอบด้วยกล้องวงจรปิด สิบเวรสังเกตเห็นว่าผู้ต้องหาโบกมือใส่กล้องวงจรปิด สิบเวรที่นั่งอยู่ด้านนอก มองเห็นโบกมือขอความช่วยเหลือ จึงได้เข้าไปถามว่ามีอะไร
นายอ้น ผู้ต้องหา ก็บอกว่าปวดท้อง ไม่สบาย เหมือนจะเป็นกรดไหลย้อน ขอโทรศัพท์ เพื่อโทรหาแฟน ให้เอายามาให้เพราะต้องกินยา
สิบเวรเห็นว่า จึงได้ตัดสินใจต่อโทรศัพท์ให้และส่งโทรศัพท์ให้คุย โดยสิบเวรยืนคุมเชิงอยู่ด้านหน้า ซึ่งใช้เวลาคุยอยู่ประมาณเกือบ 2 นาที หรือประมาณ 100 กว่าวินาที ซึ่งตอนคุยพูดค่อนข้างเบาทำให้ไม่ได้ยิน
โดยภาพจากกล้องวงจรปิดช่วงเวลา 01:27 น. บันทึกภาพหลังโทรศัพท์เสร็จแล้ว สิบเวรยังถามว่าอาการปวดท้องเป็นอย่างไร ก่อนขอรับโทรศัพท์คืน แต่ขณะที่ส่งโทรศัพท์คืนให้ สิบเวร นายอ้นได้เข้าไปส่งโทรศัพท์เสร็จ ก็ล็อกคอสิบเวร ก่อนปลุกปล้ำกัน
ส่วนนายนิพนธ์ ผู้ต้องหาอีกคน ก็วิ่งหนีออกไป ขณะที่ตอนนั้นสิบเวรล้มลง นายอ้นก็ออกไปนอกห้อง และถีบสิบเวรจนกระเด็นล้มลง และปิดประตูห้องขังล็อคสิบเวรไว้ข้างใน
ก่อนที่ผู้ต้องหาทั้ง 2 จะวิ่งหลบหนีออกจากที่ควบคุม ไปขึ้นรถคันสีแดงที่จอดรออยู่ริมถนนพญาไท
จากนั้นสิบเวร จึงตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือ ทำให้ร้อยเวรสอบสวนที่ปฏิบัติงานอยู่ชั้นล่างของสน. ได้ยิน และเข้ามาช่วยเหลือ โดยใช้เวลาไม่เกิน 2 นาที ขณะนั้นก็มีรองผู้กำกับการปราบปรามที่ตรวจอยู่ และรองผู้กำกับสืบสวน ที่ทำงานขยายผลอยู่ จึงเข้ามาและซักถาม ก่อนตรวจสอบ และแบ่งหน้าที่กัน ตรวจสอบกล้องวงจรปิด เส้นทางหลบหนี พร้อมกับวิทยุสกัดจับ
ขณะเดียวกัน ได้โทรศัพท์กลับไปที่เบอร์ที่โทรออก ทราบว่าเป็นเบอร์ของภรรยาของผู้ต้องหา จึงแจ้งให้ทราบว่าได้หลบหนี ถ้ารู้ว่าไปไหนให้แจ้ง
นอกจากนี้ มีการตรวจสอบข้อมูลทางการสืบสวนพบว่าสัญญาณโทรศัพท์ที่ใช้มีการเคลื่อนตัวไปทางจังหวัดสระบุรี จึงได้วิทยุสกัดเป็นระยะ กระทั่งทราบจากภรรยาผู้ต้องหาว่า ผู้ต้องหาอยู่แถวอำเภอพล ก่อนจะไปมอบตัวที่สภ. สีดา ตอนประมาณตี 5
จากการสืบสวน พบว่า มีรถสีแดงมาจอดรอรับทั้งคู่ โดยจากการตรวจสอบพบว่า เป็นคนเดียวกับที่เอาของใช้มาให้ตอนเที่ยงคืนกว่าซึ่งตอนนี้ทราบตัวบุคคลนี้ ว่าเป็นชายอายุ 27 ปี ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 2 กึยอมรับว่า ชายรายนี้เป็นบุคคลที่ช่วยเหลือหลบหนีไป ซึ่งก็จะเป็นการการออกหมายจับต่อไป
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า วางแผนที่จะหลบหนี ซึ่งจะมีผู้ที่เกี่ยวข้อง คือคนที่มารับ และยังต้องตรวจสอบต่อไป ว่ามีผู้เกี่ยวข้อง หรือมีเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจหรือไม่ ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบ โดยกองบัญชาการตำรวจนครบาลให้กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาเพื่อให้เกิดความกระจ่าง
ส่วนผู้ต้องหาจะถูกดำเนินคดีแยกไป คดียาเสพติดส่ง บช.ปส. ส่วนคดีหลบหนี ก็จะแจ้งข้อหาหลบหนีระหว่างคุมขัง ซึ่งจะดำเนินคดีคู่ขนานกันไป
ส่วนชายที่ให้ความช่วยเหลือหลบหนี โดยขับรถมารับที่หน้าโรงพัก อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานขอศาลอนุมัติหมายจับ ซึ่งขณะนี้ตำรวจรู้ตัวแล้วว่าเป็นใคร อยู่ระหว่างดำเนินการติดตามตัว
อย่างไรก็ตาม จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ว่ามีคนอื่นช่วยเหลือการหลบหนี หรือมีเจ้าหน้าที่รู้เห็นเป็นใจด้วยหรือไม่