วันที่ 17 ก.ย.67 ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาฯคณะก้าวหน้า ทวีตข้อความผ่านแอปพลิเคชั่น X (ทวิตเตอร์) @Piyabutr_FWP ระบุว่า...
ผมชอบ ศึกษา สนใจ เรื่องการปฏิวัติในที่ต่างๆ ทั้งในแง่ทฤษฎี และประวัติศาสตร์
จนวันนี้ ก็ยังคงอ่าน ค้น เขียน อยู่ตลอด
ใครกล่าวหาว่า เราเป็น “นักปฏิวัติ” ก็คือ คำชม เป็นเกียรติ แต่จะรู้สึกว่าชมกันเกินจริง เพราะ นักปฏิวัติ การปฏิวัติ ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ไม่ใช่นึกอยากอุปโลกน์เป็นก็เป็น ไม่ใช่ใส่หมวก ใส่ชุด ใส่พร็อพ ก็เป็นกันง่ายๆ และด้วยภาววิสัย/อัตวิสัย เราอาจไปไม่ถึงเช่นนั้น
แต่ถ้าคนที่ช่วงเวลาหนึ่ง คิดเรื่อง “ถอนรากถอนโคน” จนลี้ภัยไป และได้กลับมา ใข้ชีวิตปกติ มีโอกาสกลับมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง เช่นนี้ แต่กลับมาจัดประเภทคนอื่นๆว่า คนนี้ “ปฏิวัติ” คนนี้ “ปฏิรูป” อันนี้ น่าสนใจ พิจารณา
พี่เอก จักรภพ ใช้ความคิดวิชาการ นิยามคนนั้นคนนี้ว่าเป็น ปฏิรูป เป็นปฏิวัติ
เรื่องนั้น เรื่องเล็ก ดีเบตกันได้
แต่ที่ผมติดใจมากกว่านั้น คือ พี่เอก จักรภพ เคยนิยาม ตัวเอง และขบวน ช่วงที่ลี้ภัยตอนปี 52 จนกลับมาประเทศไทย หรือไม่ว่า ช่วงนั้นตนเองเป็นอะไร คิดอ่านอะไร วันนี้ คิดอ่านอะไร เปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะอะไร
ผมไม่คิดว่าการมาฟื้นฝอยหาตะเข็บ 20 ปี ไล่เรียงมาจนถึงปัจจุบัน จะเป็นประโยชน์อะไร แต่อยากให้พี่เอก จักรภพ คิดดูเสียบ้างว่า สมัยหนึ่งพี่เอกแค่พูดภาษาอังกฤษ คำว่า ระบบอุปถัมภ์ จนโดนฝ่ายตรงข้ามในเวลานั้นไล่ล่าว่าเป็นพวกล้มเจ้า หัวรุนแรง จนต้องลาออกจาก รมต. จนไปเป็นแกนนำ ปราศรัย เขียนบทความในนิตยสาร จำนวนมาก จนต้องลี้ภัย จนพี่สมยศในฐานะบรรณาธิการ ต้องติดคุก 112 แบบนี้ พี่เอกจะมาเที่ยวนิยาม แปะป้าย คนอื่นๆ ในบริบท สถานการณ์แบบนี้เพื่ออะไร
ผมเข้าใจเรื่องข้อจำกัดแต่ละบุคคล เรื่องการตัดสินใจในชีวิต แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่วันนี้ รอดแล้ว จะมาแปะป้ายคนอื่น เพื่อให้ตนเองและพวกรอดจากคมหอกคมดาบของระบบ ถ้าวันนี้ ไม่คิดถึงสิ่งที่ตนเองแสดงออกมาในอดีต ก็คิดถึงวีรชน บูรพาจารย์ที่เราเคารพนับถือและฝากความหวังไว้กับพี่เอกในอดีตบ้าง
ถ้าพี่จะเป็นแบบนี้ในวันนี้ พี่ไม่ต้องลี้ภัย ไม่ต้องแสดงออกเป็นตัวแทนความก้าวหน้าก็ได้ สยบยอมตั้งแต่วันนั้น ดีกว่าครับ