ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 16 ก.ย.67 นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผอ.สำนักอุทยานแห่งชาติ นำหลักฐานเข้ายื่นหนังสือต่อป.ป.ช. เพื่อร้องเรียน พล.ท.ชาคร บุญภักดี เจ้ากรมแผนที่ทหารกับพวก ร่วมกันออกเอกสารแนวเขตโดยเปลี่ยนตำแหน่ง เปลี่ยนแปลงมุมองศา เปลี่ยนพิกัด เปลี่ยนแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และพื้นที่ภูพบฟ้า รายงานเท็จ ช่วยเหลือให้บุคคลอื่นพ้นโทษ ดังนี้ 1.รับรองหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้น มุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 162 ข้อ 2.แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ แก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 จากกรณีที่ ส.ป.ก. แจ้งความดำเนินคดีกับตน พร้อมคณะเจ้าหน้าที่ ที่ดำเนินการถอนหลักหมุดส.ป.ก. โดยอ้างผลการตรวจสอบและการรับรองแนวเขตของกรมแผนที่ทหารที่ได้ตรวจสอบมายืนยันถึงแนวเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานประกอบในการดำเนินคดี 3.ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปตองกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และ 4.ช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด เพื่อไม่ให้รับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189
เจ้ากรมแผนที่ทหาร ผ่านคณะอนุ กรรมการฯ (One Map) มีความพยายาม ขอสมุดจดบันทึกการรังวัด (Field Book) ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เพื่อเอาไปทำแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นั้น กรม อุทยานฯ ได้พิสูจน์อย่างรอบคอบถี่ถ้วนแล้ว พบว่าแนวเขตที่กรมแผนที่ทหารได้จัดทำเพื่อรายงานต่อนายกรัฐมนตรี นั้นไม่ถูกต้อง โดย 1. กรมอุทยานฯ นำข้อมูลมุมองศาจากสมุดจดบันทึกการรังวัดฉบับเดียวกันกับที่กรมแผนที่ทหารขอไป ผลลัพธ์ที่ออกมาไม่เป็นไปตามหลักวิชาการการสำรวจรังวัด มุมองศา ไม่ถูกต้อง ถูกเปลี่ยนมุมองศา ไม่มีการยึดโยงหมุด/หลักเขตของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ตามข้อเท็จจริงในพื้นที่ การค้นหารายละเอียดภูมิประเทศในพื้นที่จริงกรณีที่ไม่ปรากฏชื่อภูเขาระบุไว้ โดยการสอบถามจากคนในพื้นที่ว่า ภูเขาลูกดังกล่าวมีชื่อเรียกว่าอย่างไร และใช้เป็นจุดที่ใช้ระบุตำแหน่งภูมิประเทศ เป็นเพียงการคาดการณ์ตำแหน่งภูมิประเทศตามที่ระบุในสมุดจดบันทึกการรังวัด โดยการอ้างอิงตำแหน่งและชื่อเรียกจากราษฎรในพื้นที่ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้อย่างชัดเจน กรมแผนที่ทหาร ทำหนังสือร้องขอ เฉพาะ สมุดรังวัด เท่านั้น ไม่ตรวจสอบจาก พ.ร.ฎ. อช. เขาใหญ่ ซึ่งมีผลใช้บังคับตามกฎหมาย
2.กรมแผนที่ทหาร ไม่ได้นำหลักวิชา การการสำรวจรังวัดมาใช้ เช่น ใช้คำบอกเล่าของชาวบ้าน ที่บอกชื่อ ห้วย ลำคลอง และ ชื่อเขาหรือภูเขา นี้ กรมแผนที่ทหารกลับใช้ เพื่อชี้ตำแหน่ง ของเส้นแผนที่ ที่รายงานซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริง และความยาวห้วยยาวหลายกิโลเมตร ความใหญ่โตของภูเขา จะรู้ได้อย่างไรว่า ตำแหน่งที่ชาวบ้านบอกนั้น คือบริเวณใด 3. เมื่อ กรมอุทยานฯ ได้พิสูจน์ตามสมุดรังวัดที่ส่งมอบให้ กรมแผนที่ทหารแล้วกลับพบว่า มุมองศา ไม่ตรงกัน โดยกรมอุทยานฯ ถ่ายทอด ยึดโยงจากหลักเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แล้ว พบว่ามีความสอดคล้องกับแนว พ.ร.ฎ.อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ 4. กรมอุทยานฯ นำแผนที่ ที่เป็นข้อพิพาทระหว่าง โรงแรมภูพบฟ้า กับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ กรมที่ดิน มีคำพิพากษาตัดสินแล้ว ซึ่งอยู่แนวเดียวกันซึ่งห่างจากจุดที่ ส.ป.ก ไปวางแปลง เพียงประมาณ 5 กม. ปรากฏว่า เป็นเส้นเดียวกันกับ พ.ร.ฎ.อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ และ สอดคล้องกับสมุดรังวัดที่กรมแผนที่ขอไป 5. จากแผนที่ ที่กรมแผนที่ทหารรับรองแล้วรายงานนายกรัฐมนตรีว่า เป็นเอกสารถูกต้อง นั้นข้อเท็จจริง แล้วนั้น "ไม่ถูกต้อง" ทำให้รัฐเสียหาย สาธารณชน เสียหาย ประชาชนทั่วไปเสียหาย