วันที่ 13 ก.ย.67 เวลา17.20น.ที่รัฐสภา นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าร่างกฎหมายเกี่ยวกับสถานบันเทิงครบวงจร หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ว่า เมื่อสภาเห็นชอบก็ส่งเรื่องไปที่คณะรัฐมนตรี และเห็นควรว่าให้กระทรวงการคลังดำเนินการศึกษาและดูในข้อกฎหมายเป็นการนำข้อกฎหมายจากที่ผ่านสภาและมาปรับให้เข้ากับระเบียบวิธีการให้เป็นกฎหมายที่ออกใช้ได้จริงมีการปรับเนื้อหาและรายละเอียดหลายอย่างที่ติดขัดกับพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังมีการปรับเพื่อให้เดินหน้าได้และจริงๆก็พร้อมแล้วเพราะผ่านการทำประชาพิจารณ์ และจะมีการประชุมอีก 1-2 ครั้งของส่วนฝ่ายราชการ
ซึ่งจากผลการทำประชาพิจารณ์ออกมาค่อนข้างดีมีประชาชนเห็นด้วยค่อนข้างมาก และมีข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์และพร้อมที่จะนำข้อสังเกตมาปรับแก้ แล้วส่งเข้าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ จากนั้นส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างกฎหมาย ก่อนจะส่งเข้าสภาเพื่อพิจารณากฎหมายใน 3 วาระ โดยคาดว่าอย่างเร็วคงจะเป็นปีหน้า ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนของสภาซึ่งก็จะใช้เวลาพอสมควร โดยพร้อมรับฟังความคิดเห็นของรัฐสภาทั้งส.สและสว.และเป็นอำนาจของสมาชิกรัฐสภาที่จะพิจารณากฎหมายว่ามีข้อดีข้อด้อยอย่างไรเพื่อนำมาซึ่งการป้องกันผลกระทบต่อคนไทย
นายจุลพันธ์ กล่าวต่อว่า โครงการเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ หลักคิดคือการสร้างเม็ดเงินใหม่ ดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่เข้ามาในประเทศ จากที่ดูแล้วจุด 1 เงินไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาทที่จะลงมาในประเทศไทย ซึ่งยังไม่ทราบว่าจะลงทุนกี่จุดและเป็นใครที่จะมาดำเนินการยังไม่รู้เพราะคณะกรรมาธิการในสภาและกระทรวงการคลังไม่มีหน้าที่ที่จะตัดสินใจ ว่าควรจะเป็นใคร จังหวัดใดที่มีความเหมาะสมที่จะสร้างซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะต้องมีความโปร่งใสทุกประการ เพราะภาคเอกชนมีการแถลงข่าวร่วม เมื่อเดือนที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ภาคเอกชนให้ความสนใจกับการลงทุนจากต่างประเทศ ดึงเม็ดเงินเข้ามาจากต่างประเทศ จะเกิดการจ้างงานแค่ในช่วงต้น 2-3 ปีแรกมีการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 10,000-20,000 อัตรา และจะสร้างเม็ดเงินรายได้ต่อหัวของนักท่องเที่ยว ได้อีกประมาณ 30% และจะสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศได้มหาศาล จึงมองว่าเป็นข้อดีที่เอกชนให้ความสนใจ แต่สุดท้ายจะใครก็ตามก็ต้องเข้ามาสู่กระบวนการที่มีความโปร่งใสและเป็นธรรมก็ต้องมาเสนอกัน
“ผมอยากเห็นฮอลคอนเสิร์ตขนาด 50,000 ที่นั่ง ซึ่งเราไม่เคยมีอย่างเห็นสนามแข่งรถ F1 อยากเห็น Disneyland เมืองไทย เพราะฉะนั้นเป็นอีกหนึ่งโครงการที่เป็นประโยชน์ขอให้รอติดตามและเราจะเร่งรัดการทำงานให้เร็วที่สุด แต่ก็ไม่ละเลยถึงความรอบคอบและผลกระทบ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีข้อห่วงใยเรื่องผลกระทบเกี่ยวกับกาสิโน แต่ความเป็นกาสิโนไม่เกิน 5% ตามหลักมาตรฐานของโลก เพราะไม่ใช่โมเดลของสถานการพนัน แต่เป็นโมเดลของการลงทุนเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในประเภทใหม่ๆเข้ามา 1 การลงทุนและโชว์ระดับโลกเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกเข้ามาซึ่งมองว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการดึง เม็ดเงินเข้าประเทศ ในส่วนของกาสิโนเป็นแค่เพียงเศษเสี้ยวของการลงทุนให้ครบองค์ประกอบเท่านั้น”รมช.คลัง กล่าว
เมื่อถามว่าฝ่ายค้านอภิปรายพาดพิงว่านโยบาย เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ เป็นนโยบายเรือธงของ 3 นาย คือนายใหญ่ นายหน้า และนายทุน รัฐบาลจะให้ความมั่นใจกับประชาชนอย่างไร นายจุลพันธ์ กล่าวยืนยัน ว่า ไม่อยากให้เอาวาทกรรมพวกนี้มาพูดเพราะไม่ค่อยเกิดประโยชน์ของการตอบโต้ ไม่ค่อยอยากไปยุ่งกับตรงนี้เท่าไหร่เพราะนายของพวกเราทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านทุกคนคือประชาชนแน่นอนว่าแนวคิดในการที่จะพัฒนาประเทศอาจจะมีความแตกต่าง เรามองถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่มันใหญ่ขึ้นพอที่จะกระจายไปยังพี่น้องประชาชนให้ทุกคน สามารถลืมตาอ้าปากได้ แต่ในมุมนั้นอาจมีการมองถึงการเรื่องสร้างสวัสดิการแต่เราก็บอกว่าการทำสวัสดิการถ้วนหน้าตอนนี้ ยังขาดความพร้อมเรื่องเม็ดเงิน ขนาดทำเรื่องดิจิทัล วอลเล็ตยังยากเลย ถ้าทำสวัสดิการถ้วนหน้าเช่น เบี้ยผู้สูงอายุใช้เงินปีละ 5 แสนล้านบาทจะหนักกว่าอีก แต่ไม่ได้บอกว่าใครดี หรือไม่ดี
"เชื่อว่าสุดท้ายในระยะยาวแน่นอนว่าการสร้างการขยายกรอบขนาดเศรษฐกิจคือการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจที่มีความเหมาะสมสุดท้ายเกิดประโยชน์กับทุกคนจะมีช่องว่างให้ทำนโยบายอื่นๆด้านสวัสดิการ ที่มีการศึกษาเรื่อง negative income tax แนวความคิดตัวนี้คือการตอบโจทย์เรื่องสวัสดิการถ้วนหน้าเพราะนโยบายนี้สุดท้ายจะเป็นตาข่ายรองรับให้กับประชาชนทุกคน
ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตามหากล้มลงในประเทศไทยรัฐบาลดูแลอยู่และจะสามารถลุกขึ้นยืนได้ หากมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์จะมีกลไกสร้างภาษีจะเป็นเลขลบเอาภาษีคืนกลับไปให้ท่าน เพราะฉะนั้นจะเป็นสิ่งที่เราจะศึกษาให้ละเอียดรอบคอบ และเชื่อว่าในระยะยาวนี่คือความใฝ่ฝันของพวกเราทุกคนที่จะสร้างกลไกที่จะมีสวัสดิการให้กับพี่น้องประชาชนอย่างเหมาะสม ยืนยันไม่เอื้อนายทุนไม่มี" นายจุลพันธ์ กล่าว