วันที่ 13 ก.ย.67 ที่ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน ถนนสามเสน นายพลากร สุวรรณรัฐ องคมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและการบริหารจัดการน้ำฤดูฝนปี 2567 โดยมี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน คณะผู้บริหารกรมชลประทาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา กรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) เป็นต้น เข้าร่วมประชุม เพื่อติดตามการคาดการณ์สภาพอากาศและประเมินสถานการณ์น้ำภาพรวม เนื่องจากในช่วงเดือนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันมีพื้นที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยแล้วหลายจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ และแม่ฮ่องสอน ที่ได้รับอิทธิพลจากพายุดีเปรสชัน “ยางิ” ที่อ่อนกำลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรง
นายชูชาติ รักจิตร อธิบดีกรมชลประทาน ได้รายงานว่า จากการคาดการณ์สภาพอากาศและประเมินสถานการณ์น้ำของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พบว่า หลายพื้นที่มีแนวโน้มที่จะมีฝนตกหนักถึงหนักมาก และมีฝนตกสะสม ซึ่งอาจจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มต่ำ โดยกรมชลประทาน ได้จำลองสถานการณ์น้ำในกรณีที่มีฝนตกตามที่กรมอุตุฯ คาดการณ์ จึงได้เร่งพร่องน้ำในอ่างฯ เพื่อรักษาระดับน้ำให้อยู่ในเกณฑ์ควบคุมและรองรับปริมาณน้ำฝนที่อาจจะตกลงมาอีกในระยะต่อไป ควบคู่ไปกับการใช้พื้นที่หน่วงน้ำ เพื่อชะลอน้ำที่จะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับพื้นที่ลุ่มต่ำด้านท้ายน้ำ รวมถึงได้เตรียมความพร้อมทั้งเครื่องจักร เครื่องมือ และบุคลากร ตลอดจนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้พร้อมรับสถานการณ์น้ำหลากที่จะเกิดขึ้นต่อไปด้วย
ด้านสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือ โดยเฉพาะที่ จ.เชียงราย ในช่วงวันที่ 9-11 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา มีฝนตกหนักมากกว่า 200 มิลลิเมตร ส่งผลให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่งแม่น้ำอิง แม่น้ำสาย แม่น้ำกก และแม่น้ำจัน เข้าท่วมพื้นที่ อ.แม่สาย อ.แม่จัน อ.เมืองเชียงราย อ.พญาเม็งราย อ.ขุนตาล และ อ.เทิง กรมชลประทาน โดยโครงการชลประทานเชียงราย ได้เร่งระบายน้ำลงสู่คลองระบายน้ำต่าง ๆ
เพื่อระบายลงสู่แม่น้ำโขง ลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ ยังได้บูรณาการกับหน่วยงานท้องถิ่น ร่วมกันกำจัดเศษกิ่งไม้และวัชพืชที่ลอยมาตามน้ำออกจากทางน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำลงสู่ลำน้ำเดิม พร้อมเตรียมเครื่องจักร เครื่องมือ เครื่องสูบน้ำ รถบรรทุกน้ำ ไว้รองรับสถานการณ์หลังระดับน้ำเริ่มลดลงด้วย ปัจจุบันสถานการณ์ที่ อ.แม่สาย ระดับน้ำลดลงกลับเข้าสู่ตลิ่งแล้ว
ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันไม่มีฝนตกในพื้นที่แล้ว ในเขตเทศบาลเมืองเชียงใหม่และพื้นที่เศรษฐกิจ ระดับน้ำในแม่น้ำปิงและลำน้ำสาขาลดลงต่อเนื่อง ขณะที่ อ.แม่อาย และ อ.ฝาง ลำน้ำสาขาระดับน้ำลดลงต่ำกว่าตลิ่งแล้วทั้งหมด ซึ่งปริมาณน้ำดังกล่าวได้ไหลลงสู่แม่น้ำกกและออกสู่แม่น้ำโขงตามลำดับ นอกจากนี้ กรมชลประทาน ได้พิจารณาปรับลดการระบายน้ำจากเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล เพื่อช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่แม่น้ำปิง พร้อมเฝ้าระวังระดับน้ำจากปริมาณฝนที่อาจจะตกลงมาอีกอย่างใกล้ชิด โดยในเบื้องต้น กรมชลประทาน โดยโครงการชลประทานเชียงใหม่ ได้บูรณาการร่วมกับจังหวัดเชียงใหม่ให้การช่วยเหลือโดยได้แจกถุงยังชีพและน้ำดื่ม พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำ เร่งระบายน้ำที่ค้างอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ และสนับสนุนเครื่องจักร เครื่องมือ รถบรรทุกน้ำ กำจัดดินโคลนและขยะที่ติดค้างตามชุมชนต่าง ๆ ตลอดจนล้างทำความสะอาดบ้านเรือน คาดว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในเร็ววันนี้ ส่วนที่ จ.แม่ฮ่องสอน เกิดน้ำป่าไหลหลากและน้ำล้นตลิ่งที่แม่น้ำปาย ส่งผลกระทบพื้นที่การเกษตรในเขต อ.เมืองแม่ฮ่องสอน จำนวน 600 ไร่ โดยปริมาณน้ำที่ล้นตลิ่งดังกล่าวจะไหลลงสู่แม่น้ำสาละวินต่อไป
ขณะที่สถานการณ์ลุ่มน้ำเจ้าพระยา เขื่อนเจ้าพระยาที่ จ.ชัยนาท ได้ปรับลดการระบายน้ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำจากทางตอนบนที่ไหลลงมาสมทบ ซึ่งแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง รวมทั้งยังช่วยบรรเทาผลกระทบด้านท้ายน้ำด้วย ที่ปัจจุบันมีพื้นที่นอกคันกั้นน้ำได้รับผลกระทบบริเวณชุมชนแม่น้ำน้อย คลองบางหลวง และคลองบางบาล
สำหรับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้วางแผนบริหารจัดการน้ำ ด้วยการควบคุมบานระบายของเขื่อนในแม่น้ำชีทุกแห่ง เพื่อเร่งระบายน้ำจากแม่น้ำชีให้ไหลลงแม่น้ำมูลออกสู่แม่น้ำโขงโดยเร็ว โดยจะต้องควบคุมไม่ให้ระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ตลิ่งทรุดและให้มีระดับน้ำที่แพสูบน้ำต่าง ๆ ของท้องถิ่นสามารถลอยน้ำอยู่ได้ ส่วนด้านท้ายน้ำจะพร่องน้ำที่เขื่อนราษีไศลและเขื่อนหัวนา พร้อมแขวนบานที่เขื่อนปากมูล เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ให้มากที่สุด ขณะที่เทศบาลนครอุบลราชธานี เทศบาลเมืองวารินชำราบ และอำเภอเมือง จ.อุบลราชธานี ได้เฝ้าระวังในจุดเปราะบางที่เป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก พร้อมเสริมกำแพงปิดช่องว่าง สามารถเพิ่มความจุลำน้ำได้จากเดิม 2,300 ลบ.ม./วินาที เป็น 3,200 ลบ.ม./วินาที