ชัยชนะในอดีตที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เคยสร้างและยึดกุมเอาไว้ในมือ เมื่อครั้งที่ก่อร่างสร้าง “พรรคไทยรักไทย” จนสำเร็จกลายเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงที่ทำให้ภาคภูมิใจตลอดมา ยิ่งคิด ก็ยิ่งมีความสุข จากพรรคไทยรักไทย มาสู่พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย พรรคการเมืองเจเนอเรชันที่ 3 เมื่อจะมีห้วงเวลาที่ทักษิณ ต้องจากบ้าน ไปอยู่ต่างประเทศยาวนานถึง 17 ปี
หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทักษิณ ใช้ได้ผลในวันวาน และเชื่อว่ามาถึงวันนี้ 2567 ก็จะเป็นแนวทางที่ทำให้พรรคเพื่อไทย แข็งแกร่ง ประคับประคอง “แพทองธาร ชินวัตร” ให้ได้นั่งหน้าที่ “นายกฯคนที่ 31” ไปจนครบเทอมอีก 3 ปี คือการสะสม “จำนวนสส.” การดึงพรรคการเมืองให้มาร่วมรัฐบาลให้มากที่สุด เหมือนกับเมื่อครั้งที่ พรรคไทยรักไทยเคยดึง “บ้านใหญ่” และดูดบางพรรคการเมืองเข้ามาร่วม จนทำให้พรรคแข็งแกร่ง
ด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์การเมืองหลายคนจึงมองว่า เมื่อในอดีตทักษิณ เคยใช้วิธีอย่างไร แล้วทำให้มีรัฐบาลเสียงข้างมากเบ็ดเสร็จ มาถึงวันนี้เขาก็จะยังใช้แนวทางเดิม ด้วยเหตุนี้รัฐบาลผสมรอบนี้ จึงมีด้วยกัน 15 พรรค รวมทั้งสิ้น 325 เสียง ทั้งพรรคน้อยใหญ่ ไปจนถึงการ “แบ่งซีก” 20 สส.บางส่วนมาจาก “พรรคพลังประชารัฐ” ขยี้หัวใจ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค จนถึงนาทีนี้
ทว่า การมีเสียงสส.ในมือจำนวนมาก อาจไม่ใช่เครื่องการันตี “เสถียรภาพรัฐบาล” แต่อย่างใด เมื่อเกมการต่อสู้วันนี้คือการใช้ “นิติศาสตร์” ใช้ “ข้อกฎหมาย” ที่เขียนเป็นบทบัญญัติเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 มาทำ “สงคราม” ทำลายล้าง ศัตรูฝ่ายตรงข้ามต่างหาก
ดังนั้นไม่ว่า รัฐบาลที่นำโดย “พรรคเพื่อไทย” ซึ่งมี “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกฯคนที่ 31 จะมีเสียงสส.ในมืออย่างท้วมท้น มั่นใจทุกการโหวตในสภาฯ ได้ก็ตาม แต่เมื่อใดที่ “ฝั่งตรงข้าม” ใช้ “นิติสงคราม” เข้ามาห้ำหั่น โอกาสที่จะเพลี่ยงพล้ำ พ่ายแพ้ จนถึงขั้น “ตกเก้าอี้” ยิ่งมีสูง !!
เมื่อวันที่นายกฯแพทองธาร ตอบคำถามสื่อกรณี “นักร้อง” พากันจองกฐิน เตรียมยื่นเรื่องร้องเรียน เอาผิด เจ้าตัวถึงกับโอดว่ายังไม่อยากมีคดี เพราะลูกยังเล็ก ยิ่งสะท้อนถึงความหวั่นไหวได้ชัดเจนในฐานะ “ปุถุชน” คนหนึ่ง ที่ไม่ต้องการประสบพบกับ “กับดัก” เช่นนี้
แต่ดูเหมือนว่าในความเป็นจริงแล้ว ทุกคนย่อมประเมินไม่ยากว่า “จุดอ่อน” ของรัฐบาล “แพทองธาร 1” นั้นมีด้วยกันหลายประการ แต่ที่ดูจะหนักหนาสาหัส คือการถูกร้องด้วยข้อหา “ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง” ซึ่งเคยเป็น “เหตุ” ที่ทำให้ “เศรษฐา ทวีสิน” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯคนที่ 30 มาแล้ว จากการตั้ง “พิชิต ชื่นบาน” ให้เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทั้งที่รู้ว่ามีปัญหาด้านคุณสมบัติ
การตีความว่าด้วยการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง นี่เองที่กลายเป็น “เหตุ” ที่ทำให้การตั้งครม.รอบนี้ล่าช้ากว่าที่เคยผ่านมา เนื่องจาก ทักษิณ เองเมื่อถูกบีบให้ส่ง “ลูกสาว” มานั่งเป็นนายกฯ ทั้งที่รู้ว่าลูกเองก็ยังไม่พร้อม ยังขาดประสบการณ์ทางการเมือง ดังนั้นอะไรที่จะกลายเป็น “ปัญหา” จึงต้องกำจัดในทุกๆจุดอ่อน ออกไปให้มากที่สุด ด้วยเหตุนี้ ครม. “แพทองธาร 1” ทั้งพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลจึงต้อง “ตรวจสอบคุณสมบัติ” คนที่จะมาเป็น “รัฐมนตรี” กันอย่างเข้มงวด จนนำไปสู่การแต่งตั้งเครือญาติ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีแทนเพื่อ “รักษา” ตัวนายกฯแพทองธาร เอาไว้
ว่ากันว่ายังไม่ทันที่นายกฯแพทองธาร จะเข้าทำเนียบฯ อย่างเป็นทางการในวันที่ 16 กันยายนนี้ บรรดา “นักร้อง” แวะเวียนไปยื่นคำร้องให้องค์กรอิสระ ตรวจสอบด้วยกันหลายเรื่องแล้ว ทั้งการเสนอชื่อ “ภูมิธรรม เวชยชัย” เป็นรมว.กลาโหม เข้าข่ายมีความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จนอาจเป็นเหตุทำให้แพทองธาร ต้องพ้นจากนายกฯตามมา
หรือการที่ “สนธิญา สวัสดี” ยื่นหนังสือที่สำนักงานอัยการสูงสุด ขอให้ตรวจสอบความซื่อสัตย์สุจริตและการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ “เดชอิศม์ ขาวทอง” รมช.สาธารณสุข รวมถึงนายกฯ จากกรณีที่นายกฯ แต่งตั้งให้ทั้ง 2 คนเป็นรัฐมนตรี ขณะเดียวกัน “นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม” ประธานพรรคไทยภักดี ยื่นกกต.สอบ ทักษิณ ครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรค
ทั้งนี้คำร้องต่างๆดังกล่าว หวังผลพุ่งเป้าไปที่ นายกฯแพทองธาร ซึ่งเป็นเสมือนกล่องใจของทักษิณ แน่นอนว่าจากนี้ไปยังจะมีคำร้องตามมาด้วยกันอีกหลายเรื่อง แต่ปมประเด็นที่น่าสนใจ และยังถือเป็น “จุดตาย” อันสำคัญ นั้นน่าจะอยู่ที่การปลุกคดี “สนามกอล์ฟอัลไพน์” ขึ้นมา “เขย่า” นายกฯแพทองธาร ให้ร่วงจากเก้าอี้ โดยมีความเป็นไปได้สูง !
สำหรับคดีที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์นั้น ได้เคยเงียบไปแล้ว เมื่อล่าสุดจบลงที่ ศาลได้พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” เมื่อครั้งเป็นรักษาการปลัดมหาดไทยได้ลงนามยกที่ดินธรณีสงฆ์เป็นสนามกอล์ฟ บัดนี้ยงยุทธ พ้นโทษออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่เรื่องนี้กำลังจะเริ่มนับหนึ่งมาเขย่าขวัญ ทั้งทักษิณ และนายกฯแพทองธาร เป็นซีรีส์ภาคต่อ
หลายคนออกมาส่งเสียงเตือนไปยังนายกฯแพทองธาร ว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่มีผลทำลายล้างขั้นสูงสุด เอาทีเดียว อย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน เคยออกมาเตือนแล้วว่า นายกฯต้องกลับไปตรวจสอบ ว่าตัวเองเคยถือหุ้นสามกอล์ฟอัลไพน์ 30% หรือไม่
“เพราะเรื่องนี้ไม่แตกต่างกับกรณี เอ๋-ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต สส.พลังประชารัฐ โดนข้อหาจริยธรรมในการได้รับมรดกครอบครองที่ดินไม่ชอบด้วยกฎหมาย จนถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต เมื่อนำมาเทียบเคียงกับสนามกอล์ฟอัลไพน์แล้ว อุ๊งอิ๊งจะรอดหรือไม่”
เงื่อนปมที่ดินที่นำมาเป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์ นั้นเป็นที่ธรณีสงฆ์ ปัจจุบันนี้ที่ดินสนามกอล์ฟ ซึ่งยังมีการทำบ้านจัดสรรด้วยนั้นอยู่ในมือของ บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ ซึ่งมีนายกฯแพทองธาร และพี่ชาย พี่สาวของเธอ คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ทั้งนี้แน่นอนว่าเมื่อมารับตำแหน่งนายกฯ จึงต้องเคลียร์การถือครองหุ้นในบริษัทดังกล่าวออกไปทั้งหมดตามกฎหมาย แต่ขณะเดียวกันมีคำถามตามมาว่า เมื่อทำอย่างนั้นแล้วทุกอย่างจะจบหรือไม่
โดยมีรายงานว่านายกฯแพทองธาร ได้ยื่นจดทะเบียนลาออกจากการเป็นกรรมการด้วยกันหลายบริษัทรวมถึง บริษัท อัลไพน์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ตคลับ จำกัด เมื่อวันที่ 15 ส.ค.67 ไปแล้ว ทั้งนี้จากคำพิพากษาคดียงยุทธ มาเทียบเคียงจะถือว่าสิ้นสุดแล้ว และชัดเจนว่าเป็นที่ธรณีสงฆ์ ต้องคืนให้วัดธรรมิการามเท่านั้น ดังนั้นจากเมื่อเป็นที่วัด แล้วมาถึงมือทักษิณแล้วต่อมาโอนให้นายกฯแพทองธาร ก็ต้องคืนที่ให้กับวัด ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้เลย
เท่ากับว่าแม้นายกฯแพทองธาร จะลาออกจากบริษัทอัลไพน์ ฯไปแล้วก็ตาม แต่อย่าลืมว่า แนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ตีความคำว่า “จริยธรรม” เอาไว้อย่างกว้างนั้น อาจเป็นผล เป็น “เชื้อ” ที่นำมาสู่การยื่นคำร้องเรื่องที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ในเร็วๆนี้
และหากเกมนิติสงครามจะเดินไปตามธงด้วยการปลุกปมที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ ขึ้นมาใหม่ จนมีผลทำให้แพทองธาร อยู่ไม่ครบเทอม ก็อย่าได้โทษใคร เพราะที่ดินเจ้าปัญหาแห่งนี้คือ “มรดก” ที่ ทักษิณ มอบให้กับลูกสาวของเขานั่นเอง !