คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย

แทบไม่น่าเชื่อว่า “เนท ซิลเวอร์” ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านวิเคราะห์ข้อมูลจากบรรดาสำนักหยั่งเสียงของสหรัฐฯทั้งหมด และ “ศาสตราจารย์ดร.อลัน ลิชท์แมน” ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ซึ่งศาสตราจารย์ท่านนี้ใช้สูตรกุญแจ 13 ดอก ทำนายผู้ที่จะได้เข้าสู่ทำเนียบขาว

ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองท่านต่างก็ออกมาประกาศคำทำนาย ที่มีความคิดเห็นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงว่า อีกสองเดือนข้างหน้าใครคือผู้ที่จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนใหม่!!!

ที่ผ่านๆมาทั้งสองผู้เชี่ยวชาญต่างก็ได้รับความเชื่อถือเกี่ยวกับการทำนายผลการเลือกตั้งที่ทำนายแบบไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร

เนท ซิลเวอร์ วัย 46 ปี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิคาโก เป็นนักคำนวณ นักสถิติ นักเขียน และเขายังเป็นเซียนนักเล่นไพ่โป๊กเกอร์มืออาชีพตัวยง โดยเขาผู้นี้เคยสร้างชื่อเสียงโด่งดังก้องโลกในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์วิเคราะห์ข้อมูลจากสำนักหยั่งเสียงที่ถูกเปิดเผยออกมาทั้งหมด และเมื่อปีค.ศ. 2009 นิตยสาร Time ได้เลือกให้เขาเป็นหนึ่งในหนึ่งร้อยคนที่มีอิทธิพล สูงที่สุดในโลกอีกด้วย

เมื่อปีการเลือกตั้ง 2008 และปีการเลือกตั้ง 2012 เนท ซิลเวอร์ เคยออกมาทำนายผลการเลือกตั้งได้อย่างแม่นยำราวกับตาเห็นในรัฐทั้งหมด 50 รัฐของสหรัฐฯว่า  “บารัก โอบามา”จะเป็นฝ่ายชนะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯคนที่ 49

แต่อย่างไรก็ตามเซียนก็ยังเคยตกสวรรค์ สืบเนื่องมาจากเนท ซิลเวอร์ เคยออกมาทำนายผลการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” จะมีโอกาสได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีแค่เพียง 28.6% เท่านั้น แต่ “ฮิลลารี คลินตัน” จะมีโอกาสได้รับเลือกถึง 71.4% เลยทีเดียว นับว่าการทำนายครั้งนั้นเขาแทบจะไม่มีปากกาใช้ เพราะโดนหักปากกาเซียนไปเรียบร้อยโรงเรียนลุงแซม!!!

สำหรับคู่แข่งคนสำคัญของเนท ซิลเวอร์ นั่นก็คือศาสตราจารย์เกียรติคุณดร.อลัน ลิชท์แมน วัย 77 ปี แห่ง “มหาวิทยาลัยอเมริกัน” ณ กรุงวอชินตัน ดี.ซี. ที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก จากฮาร์วาร์ด  โดยที่ผ่านๆมาศาสตราจารย์ท่านนี้เคยทำนายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯได้ค่อนข้างถูกต้องแม่นยำ 9 ใน 10 ครั้งในช่วงสี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา

และเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2024 ดร.ลิชท์แมนได้ออกมาประกาศคำทำนายของเขาว่า “รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส” จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีหญิงคนแรกของสหรัฐฯ จนได้กลายเป็นข่าวฮือฮาอย่างมากเลยทีเดียว

ทั้งนี้ดูเหมือนว่าผลการทำนายของดร.ลิชท์แมนกลับสวนทางกับผลการทำนายของเนท ซิลเวอร์ ที่เขาได้เขียนลงในเว็บไซต์ของเขาที่มีชื่อว่า ““Nate Silver Bulletin” เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2024 โดยเขาได้ออกมากล่าวแถลงคำทำนายว่า อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสที่จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้งคราหนึ่ง ซึ่งอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จะชนะเหนือ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ด้วยคะแนนอิเล็กโทรัล 58.2% ต่อ 41.6%

ส่วนการทำนายของศาสตราจารย์ลิชท์แมน นั้นดูเหมือนท่านก็มีความมั่นใจว่า ผลการทำนายของท่านถูกต้องและแม่นยำ แต่ท่านก็ได้ออกมากล่าวว่า  เมื่อครั้งอดีตในคืนนับคะแนนของการแข่งขันเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดี หัวใจของท่านจะเต้นสั่นระรัว เพราะท่านเกรงว่า ผลการทำนายจะผิดพลาด แต่การทำนายผลการเลือกตั้งในปีนี้ท่านบอกว่า  “ข้าพเจ้ามีความมั่นใจและยังมีความรู้สึกสบายใจอีกด้วย”

เท่ากับว่าในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯครั้งนี้ สองผู้เชี่ยวชาญในการทำนายผลการเลือกตั้ง “เนท ซิลเวอร์” และศาสตราจารย์อลัน ลิชท์แมน” ออกมาทำนายแบบที่มีความคิดเห็นตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง

ที่ผ่านมาศาสตราจารย์ลิชท์แมน เคยเล่าว่า เมื่อปีค.ศ. 1981 ตอนที่ท่านได้รับเชิญให้ไปเป็นนักวิชาการพิเศษด้านประวัติศาสตร์สหรัฐฯเยือนมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเทคโนโลยีที่ เมืองพาสซาดีนา ท่านได้พบกับนักธรณีฟิสิกส์ชาวรัสเซียชื่อ Vladimire Keilis-Borok ผู้เชี่ยวชาญการทำนายแผ่นดินไหวได้อย่างแม่นยำ และโดยบังเอิญท่านกับนักธรณีฟิสิกส์ชาวรัสเซียได้ร่วมกันคิดค้นสูตรการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯขึ้น โดยใช้กฎกุญแจ 13 ดอก โดยทั้งสองทำการศึกษาผลการเลือกตั้งของสหรัฐฯที่ผ่านๆมาทั้งหมดใช้ทำนายผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯทุกๆครั้ง ปรากฏว่ามีความแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ

ต่อมาศาสตราจารย์ลิชท์แมน ก็ได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า “กุญแจ 13 ดอกสู่ทำเนียบขาว” และจากวิดีโอที่มีความยาวเจ็ดนาทีที่ศาสตราจารย์ลิชท์แมนเปิดเผยออกมานั้น ท่านได้ชี้แจงว่า การเลือกตั้งครั้งล่าสุดในปี2024 นี้

รองประธานาธิบดีแฮร์ริส มีกุญแจที่จะใช้ไขเข้าสู่ทำเนียบขาวแล้ว 8 ดอก เช่น ไม่มีนักการเมืองของพรรคอิสระที่เข้มแข็งออกมาต่อต้านรองประธานาธิบดีแฮร์ริส สภาวะเศรษฐกิจทั้งระยะสั้นและระยะยาวขณะนี้อยู่ในระดับดี แถมยังไม่มีการประท้วงที่ร้ายแรง ไม่มีการคอร์รัปชั่นในสมัยของ “ประธานาธิบดีโจ ไบเดน” แถมสงครามยูเครนและสงครามอิสราเอลและกลุ่มนักรบฮามาสก็ไม่มีการประท้วงที่ยืดเยื้อเหมือนดั่งในปีค.ศ. 1968 ที่สมัยนั้นมีการประท้วงในเรื่องสงครามเวียดนามกันอย่างยืดเยื้อเนิ่นนาน

ทั้งนี้จุดพลิกผันที่ทำให้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กลายเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต สืบเนื่องมาจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน เผชิญกับความล้มเหลวอย่างมหันต์ในการปะทะฝีปากโต้วาทีกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ จึงเป็นผลให้แกนนำของพรรคเดโมแครต ทั้งกดทั้งดันให้เขายอมเปิดทางให้แก่ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส เข้ารับมรดกทางการเมืองแทนที่ และในที่สุดประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยอมถอดใจมอบอำนาจให้แก่เธอ

เหตุผลหนึ่งที่นับเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาที่ทำให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ยอมสละอำนาจมอบให้แก่ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส สืบเนื่องมาจากทั้งสองต่างก็มีความผูกพันเหมือนดั่งพ่อกับลูกมาอย่างยาวนาน

ทั้งนี้การที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้เลือกกมลา แฮร์ริสในตำแหน่งรองประธานาธิบดี สืบเนื่องมาจากลูกชายคนโปรดของเขาที่เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งในสมองเมื่อปีค.ศ. 2015 นั้นขณะที่ลูกชายของประธานาธิบดีโจ ไบเดน อยู่ในตำแหน่งอัยการสูงสุดของรัฐเดลาแวร์ เขาเป็นเพื่อนสนิทและมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับกมลา แฮร์ริส ขณะที่เธอรับตำแหน่งอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย และในช่วงสามปีกว่าๆที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ต่างๆให้แก่ คามาลา แฮร์ริส อย่างหมดไส้หมดพุง

นอกจากนั้นแล้วบรรดาแกนนำในค่ายพรรคเดโมแครตทุกๆคนที่กดดันให้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอดใจ ต่างก็ออกมาให้การสนับสนุนรองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส กันอย่างเต็มที่

อนึ่งเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2024 ขณะที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริส เดินทางไปเยือนสำนักงานใหญ่ของการหาเสียงที่ รัฐเดลาแวร์ หลังจากที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มอบอำนาจให้แก่เธอ และวันนั้นสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นก็ได้ถ่ายทอดสด ขณะที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริส

กล่าวปราศรัยกับพนักงานว่า “ขณะที่ดิฉันอยู่ในตำแหน่งอัยการสูงสุดของรัฐแคลิฟอร์เนีย ดิฉันเรียนรู้นิสัยและพฤติกรรมของโดนัลด์ ทรัมป์เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการหลบเลี่ยงภาษี และวิธีการหลอกลวงนักศึกษาของมหาวิทยาลัยทรัมป์ ที่เขาตั้งขึ้นมาอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยต่อมาเขายอมจ่ายเงินถึง 25 ล้านดอลลาร์ให้แก่นักศึกษา อีกทั้งมหาวิทยาลัยทรัมป์ของเขาก็ต้องถูกปิดกิจการลงไปด้วย”

ทันทีที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริส จบคำปราศรัย สถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นก็ได้ขอสัมภาษณ์กับ “ดร.ดอริส กู๊ดแมน” นักประวัติศาสตร์ชื่อดังของสหรัฐฯ ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องราวของประธานาธิบดีสหรัฐฯทุกๆคน โดยเธอได้กล่าวสรุปว่า สหรัฐอเมริกากำลังจะได้ประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ที่เป็นสุภาพสตรี นั่นก็คือ รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส ผู้ที่มีประสบการณ์หลากหลายอย่างหาตัวจับยาก มีความเฉียบแหลมและเฉลียวฉลาด แถมยังมีไหวพริบที่ยอดเยี่ยม

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นหากจะวิเคราะห์กันดูแล้วการทำนายของ “ศาสตร์จารย์เกียรติคุณดร.อลัน ลิชท์แมน” ที่ได้ยึดเอาข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นมาเป็นตัวหลักในการทำนาย โดยการทำนายการเลือกตั้งครั้งนี้ท่านได้เลือกให้“รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส” เป็นผู้ที่จะได้รับชัยชนะ ส่วนนักทำนายคู่ปรับอย่าง“เนท ซิลเวอร์” ก็ออกมาทำนายแบบตรงกันข้ามหน้ามือเป็นหลังมือว่า “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์” ต่างหากที่จะเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ มองๆไปแล้วนับเป็นการเสี่ยงของทั้งคู่ที่ต่างก็เอาทั้งอาชีพและชื่อเสียงมาวางที่ตักรับหน้าเสื่อ แต่ถือเป็นสิ่งที่ทั้งสองผู้ทำนายยอมจะเสี่ยง เราก็ควรชื่นชมในความกล้าหาญของบุคคลทั้งสองนี้ด้วยละครับ