นายกฯ ตอกย้ำ 10 นโยบายเร่งด่วน! พลิกฟื้นเศรษฐกิจเติบโตอย่างเข้มแข็ง แสวงหาโอกาสใหม่ๆ ให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ด้านหัวหน้าปชน. เย้ย 1 ปีรัฐบาลเพื่อไทยสูญเปล่า ระบุหลายนโยบายไร้ผล ไม่เป็นรูปธรรม ส่วน สว.พิสิษฐ์ซัดนโยบาย คุณพ่อคิด คุณลูกทำ 

     ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ก.ย.67 การประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา โดยบรรยากาศในที่ประชุมเป็นไปอย่างเรียบร้อย ขณะที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เข้าประจำที่ในห้องประชุมอย่างพร้อมเพรียง เพื่อเตรียมชี้แจงข้อซักถามของสมาชิกรัฐสภา
    
 ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้อ่านคำแถลงนโยบายรัฐบาล โดยระบุถึง 10 นโยบายเร่งด่วนทำทันทีคือ 1.การปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อบ้านและรถ ช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบและในระบบที่ไม่ขัดต่อวินัยการเงินและไม่ทำให้เกิดภาวะภัยทางจริยธรรม 2.ส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะเอสเอ็มอี จากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมของคู่แข่งต่างชาติ โดยเฉพาะแพลตฟอร์มออนไลน์
    
 3.ออกมาตรการเพื่อลดราคาพลังงานและสาธารณูปโภค ด้วยการปรับโครงสร้างราคาพลังงานและเร่งปรับปรุงกฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้องเช่น ทำสัญญาซื้อขายพลังงานโดยตรง พัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน ด้านขนส่งมวลชนจะกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมใน กทม. เพื่อรองรับนโยบายค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย
     
4.สร้างรายได้ใหม่ด้วยนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษี เพื่อจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา สาธารณสุข และสาธารณูปโภค 5.เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเลต โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก 6.ยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย และเร่งเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตรและราคาพืชผลการเกษตร
     
7.เร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สถานบันเทิงครบวงจร (เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์) 8.แก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร 9.เร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน และ 10.ส่งเสริมศักยภาพและจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลง
    
 น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ส่วนนโยบายพัฒนาประเทศระยะกลางและระยะยาวจะต่อยอดการพัฒนาของภาคผลิตและบริการ สร้างความสามารถในการแข่งขันเพื่อวางรากฐานสู่การพัฒนาประเทศในอนาคต ได้แก่ ต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ยกระดับภูมิปัญญาไทยไปสู่วัฒนธรรมสร้างสรรค์ ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ ต่อยอดพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนาเศรษฐกิจสุขภาพ การบริการทางการแพทย์ รวมถึงพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อขยายโอกาส ทั้งวิจัยและนวัตกรรม ด้านคมนาคมขนาดใหญ่ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการที่ดินของรัฐ ให้ประชาชนเข้าถึงสิทธิที่ดิน ที่อยู่อาศัย และที่ดินทำกินเพิ่มขึ้น
    
 สำหรับนโยบายด้านการต่างประเทศ รัฐบาลจะรักษาจุดยืนไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศ ทำงานร่วมกับนานาประเทศเพื่อส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน เดินหน้านโยบายการทูต เศรษฐกิจเชิงรุก และซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุน โดยรัฐบาลต้องการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างเข้มแข็งโดยเร็ว 
   
  น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า ขอให้ความมั่นใจว่าจะตั้งใจบริหารราชการแผ่นดิน ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดประโยชน์ประชาชนและประเทศ โดยจะสร้างโอกาสเท่าเทียม ให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี เพื่อพาความภาคภูมิใจกับมาสู่ประเทศ
 ต่อมา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปรายว่า ขอตั้งคำถามว่ามีนโยบายอะไรที่ได้ผลเป็นรูปธรรมบ้าง ทั้งนี้นโยบายด้านสวัสดิการสังคมไม่ได้ทำตามนโยบายที่หาเสียง และนโยบายรัฐบาลชุดที่ผ่านมาเช่นเงินอุดหนุนเด็ก เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินอุดหนุนคนพิการ รวมถึงปัญหายาเสพติด สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยไม่มีความมั่นคงในชีวิต หลายปัญหาที่เกิดไม่ใช่ปัญหาใหม่ ทั้งนี้ประชาชนคาดหวังรัฐบาลที่เพื่อไทยเป็นแกนนำมาแก้ปัญหา ช่วง 11 เดือนที่ผ่านมาจากการสำรวจของสำนักข่าวแห่งหนึ่งระบุว่ามีข้อสั่งการเทียบเท่ามติ ครม. 193 เรื่อง ส่งต่อ 251 หน่วยงานรัฐ และ 162 เรื่องไม่มีกรอบเวลามี 10 เรื่องที่หน่วยงานรายงานกลับต่อครม.คือ รับลูกและเอาด้วย เพราะรัฐบาลขาดอำนาจนำในการบริหารราชการ และสั่งการที่ราชการไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งปัญหาอาจอยู่ที่ไม่เข้าใจระบบราชการ หรือการไม่มีอำนาจ ซึ่งหนึ่งปีของรัฐบาลนั้นสูญเปล่า
    
 นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า 3 ปีของรัฐบาลหลังจากนี้เป็นบทพิสูจน์ว่าจะเจ๊าหรือเจ๊ง ซึ่งมีความท้าทายในประเด็นเรื่องการศึกษา รวมถึงการแก้ปัญหาอาชญากรรมออมไลน์ รวมไปถึงประเด็นค่าแรง ขณะเดียวกันในปัญหาภัยพิบัติ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แม้ประเด็นปัญหาดังกล่าวบรรจุในนโยบายรัฐบาล แต่สิ่งที่ต้องการเห็นคือ รายละเอียดที่ต้องการให้ ครม. ตอบ โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อต้องมีรายละเอียด พร้อมปฏิบัติได้ทันที
    
 "นโยบายเรือธงของรัฐบาลมีเป้าหมายของประชาชนอยู่ตรงไหน คือเป็น นโยบายเรือธงให้ 3 นาย คือ นายใหญ่ นายหน้า หรือนายทุน เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่เป็นนโยบายเรือธงให้นายใหญ่ได้ขึ้น นโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีข้อสงสัยถึงการเปิดกว้างหรือล็อกการประมูล เพื่อเอื้อนายทุน และโครงการแลนบริดจ์ในการใช้งบประมาณของรัฐเพื่อเวนคืน เอื้อให้นายหน้าค้าที่ดินหรือไม่" นายณัฐพงษ์ กล่าว
   
  ด้าน นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงศ์ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายเป็นคนแรกของฝั่งวุฒิสภา โดยตั้งชื่อนโยบายรัฐบาลว่า นโยบายคุณพ่อคิด คุณลูกทำ โดยเน้นย้ำไปที่นโยบายเกี่ยวกับการดูแลผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งได้เสนอแนะให้เปลี่ยนกลยุทธ์จากการกีดกันต่างชาติเป็นการพลิกแพลง เปลี่ยนจากคู่แข่งเป็นคู่ค้าเช่น กำหนดแพลตฟอร์มต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจค้าขายกับคนไทย ให้จดทะเบียนบริษัทให้ถูกต้องเพื่อการจัดเก็บภาษี และควบคุมคุณภาพสินค้า และเสนอปรับปรุงกฎหมายให้เกิดความรวดเร็วฉับไว
    
 นายพิสิษฐ์ ยังอภิปรายถึงนโยบายเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติว่าตนต้องการเห็นสิ่งที่รัฐบาลต้องทำให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ใดกระทำการเซาะก่อนบ่อนทำลายสถาบัน เป็นเหตุให้ชำรุดทรุดโทรม เสื่อมโทรมเข้าลักษณะล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยเอาไว้
    
 เพื่อการป้องกันความแตกแยกและความสามัคคีของคนในชาติ หวังว่ารัฐบาลจะยึดยึดมั่นในคำแถลงนโยบายเกี่ยวกับ การพิทักษ์สถาบันไว้อย่างเคร่งครัด ไม่แก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ในฐานะประสพนิกรไม่ยินยอมอย่างแน่นอน