ผ่านพ้นไปแล้ว สำหรับ การอภิปรายโต้วาทีประชันวิสัยทัศน์ หรือดีเบต ของผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2024 (พ.ศ. 2567) ครั้งที่ 2 ซึ่งครั้งนี้เป็นการดีเบตกันระหว่างนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรครีพับลิกัน กับนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้สมัครฯ จากพรรคเดโมแครต เมื่อช่วงกลางสัปดาห์นี้
โดยการดีเบตสำหรับการเลือกตั้งข้างต้น ก็ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ที่ผู้สมัครฯ จากทั้งสองพรรคได้ประชันวิสัยทัศน์ แต่เป็นการเปลี่ยนตัวผู้สมัครฯ ของทางฝั่งพรรคเดโมแครต จากเดิมที่เป็นประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ที่เคยดีเบตกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ มาครั้งหนึ่งแล้ว ในการดีเบตครั้งแรก ต้องถอนตัวจากการสู้ศึกเลือกตั้งไป แล้วเปลี่ยนตัวให้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส มาชิงชัยแทน
ดังนั้น จึงกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า เป็นการดีเบตกันครั้งแรกระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กับรองประธานาธิบดีแฮร์ริส และการดีเบตระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์กับรองประธานาธิบดีแฮร์ริสในครั้งนี้ ซึ่งเป็นทั้งครั้งแรก และครั้งเดียวด้วย เพราะการดีเบตครั้งต่อไป จะเป็นรายการของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คือ ระหว่างนายเจดี แวนซ์ จากพรรครีพับลิกัน กับนายทิม วอลซ์ จากพรรคเดโมแครต ซึ่งการดีเบตของสองผู้สมัครฯ ชิงรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดังกล่าวนั้น จะมีขึ้นที่มหานครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก ในวันที่ 1 ตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยทางสถานีโทรทัศน์ซีบีเอสนิวส์ รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ
สำหรับ การดีเบตระหว่างอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กับรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ที่เพิ่งผ่านพ้นไปนั้น ก็มีขึ้นที่ศูนย์เนชันแนลคอนสติติวชันเซ็นเตอร์ ในเมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลเวเนีย โดยทางสถานีโทรทัศน์เอบีซีนิวส์ รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพ พร้อมกับระดมผู้ประกาศข่าวฝีมือดีของทางสถานีฯ อย่างนายเดวิด มูเยอร์ และนางลินเซย์ เดวิส มาเป็นพิธีกร
ส่วนกติกาการดีเบต ก็เหมือนกับครั้งที่แล้วทุกประการ ไล่ไปตั้งแต่การที่ไม่มีผู้ชมในสถานที่จัดดีเบต แต่จะใช้วิธีการถ่ายทอดสดแพร่ภาพออกอากาศตามสถานีโทรทัศน์แทน นอกจากนี้ พิธีกรยังสามารถปิดโมไครโฟนของผู้ดีเบตได้ด้วย เพื่อป้องกันการพูดแทรก พูดขัดจังหวะ ต่อคู่ดีเบตอีกด้วย
เริ่มเปิดฉากมาของการดีเบต ก็เป็นฝ่ายของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส เข้าไปจับมือทักทายกับอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ก่อน จากนั้นรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ก็อภิรายเป็นคนแรก ในประเด็นเศรษฐกิจและค่าครองชีพของชาวอเมริกัน ซึ่งถูกพิธีกรหยิบยกขึ้นมาตั้งเป็นประเด็นปฐม ในฐานะที่เป็นหนึ่งในประเด็นที่ชาวอเมริกันจับตาจ้องมอง
โดยรองประธานาธิบดีแฮร์ริส เสนอแผนการลดหย่อนภาษีสำหรับผู้เริ่มทำธุรกิจรายย่อย มูลค่ารายละ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ
พร้อมกันนี้ รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กล่าวโทษต่ออดีตประธานาธิบดีทรัมป์ว่า มีส่วนทำให้สหรัฐฯ เกิดภาวะขาดดุลการค้า และทำให้ภาวะอัตราเงินเฟ้อ ค่าครองชีพของชาวอเมริกันพุ่งสูงขึ้น จากการที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ดำเนินนโยบายตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากต่างประเทศ จนส่งผลให้สินค้าต่างๆ ในสหรัฐฯ แพงขึ้นเป็นเงาตามตัว กระทบกับเงินในกระเป๋าประชาชนชาวอเมริกันโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
ทางด้าน อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ แก้ต่างว่า นโยบายกำแพงภาษีในยุคที่ตนเป็นประธานาธิบดีนั้น ก็เพื่อตอบโต้ต่อประเทศที่เอาเปรียบสหรัฐฯ มาเป็นเวลานานหลายปีก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน และถ้าพูดถึงปัญหาเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ ก็มาจากรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดน ที่มีนางแฮร์ริส เป็นรองประธานาธิบดี เป็นผู้ก่อให้เกิดปัญหา
พร้อมกันนี้ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ยังลากรวมไปถึงปัญหาของผู้อพยพเข้าสหรัฐฯ อย่างทะลักท่วม จนก่อให้เกิดปัญหาอื่นๆ แก่สหรัฐฯ ตามมา ก็เป็นฝีมือการบริหารของรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดน ที่มีนางแฮร์ริส เป็นรองประธานาธิบดีด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่หยิบยกขึ้นมาดีเบต ได้แก่ กฎหมายว่าด้วยสิทธิการคุมกำเนิด หรือทำแท้ง ประเด็นเรื่องสงครามทั้งในสมรภูมิที่ฉนวนกาซา และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่มีการอภิปรายประชันวิสัยทัศน์ ตลอดจนกล่าวโจมตีระหว่างกันและกัน โดยทางรองประธานาธิบดีแฮร์ริส เรียกร้องให้ชาวอเมริกัน ก้าวข้ามนายทรัมป์ และอดีตที่ผ่านมา แต่ให้มองไปข้างหน้าของอนาคต ขณะที่ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ตอบโต้กลับว่าในช่วง 3 ปีที่มีเดโมแครตมีอำนาจ แต่กลับไม่ทำ จนสหรัฐฯ กลายเป็นประเทศล้มเหลว
อย่างไรก็ดี ในการดีเบตกันครั้งนี้ ก็มีการจับโป๊ะ จับผิด ในเนื้อหาที่ทั้งสองผู้สมัครฯ หยิบยกขึ้นมาอภิปราย เชือดเฉือนใส่กัน ตลอดจนการใช้ถ้อยคำแบบสุดโต่ง จนต้องการแก้ไขกันหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางฟากฝั่งของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์
อาทิ เรื่องที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ กล่าวถึงข่าวที่ผู้อพยพชาวเฮติจำนวนมากในเมืองสปริงฟิลด์ รัฐโอไฮโอ ขโมยสุนัขและแมวที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้มารับประทาน ตลอดจนจับสัตว์ในอุทยานมาเป็นอาหาร ซึ่งทางพิธีกรเป็นผู้แย้งถึงเรื่องความน่าเชื่อถือของข่าวข้างต้น แต่ทางอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ก็อ้างถึงคำสัมภาษณ์ของชาวบ้านที่ถูกผู้อพยพชาวเฮติขโมยสัตว์เลี้ยงของพวกเขาไป เป็นต้น
ขณะที่ ทางฟากของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส ก็ถูกจับผิดในเรื่องที่เธอพูดเกินจริง ด้วยการกล่าวอ้างถ้อยคำหาเสียงของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ว่า หากว่าเขาไม่ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีก็จะเกิดการนองเลือด ซึ่งทางทีมงานหาเสียงแก้ต่างว่า ที่ว่านองเลือดนั้นก็คือ ชะตากรรมของอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐฯ ในยุคของรัฐบาลประธานาธิบดีไบเดน
หลังการดีเบต ก็ยังเป็นที่ถกเถียงว่าฝ่ายใดเป็นผู้ชนะ โดยทางฟากเดโมแครต ก็ยังคงส่งเสียงสนับสนุนรองประธานาธิบดีแฮร์ริส โดยหนึ่งในนั้นก็มี “เทย์เลอร์ สวิฟต์” ศิลปินนักร้องหญิงชื่อดังรวมอยู่ด้วย ส่วนทางฝั่งรีพับลิกัน ก็ยังคงเชียร์อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ โดยยังเห็นว่า รองประธานาธิบดีแฮร์ริส อภิปรายอย่างกำกวมตลอดช่วง 90 นาที
ว่ากันถึงการสำรวจความคิดเห็นของสถานีโทรทัศน์ข่าวซีเอ็นเอ็นในสหรัฐฯ ก็ยกให้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส เหนือกว่าอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ร้อยละ 63 ต่อ 37 จากการดีเบตครั้งนี้