ปากกาขนนก / สกุล บุณยทัต

“หากเมื่อชีวิตยึดมั่นในความเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอและยอมแพ้ต่ออุปสรรคหรือภาระใดๆที่ต้องเผชิญหน้า..เราจะพบกับพลังที่เติบกล้าที่สำคัญในชีวิต ทั้งจากส่วนย่อยของการกระทำ การต้องเผชิญหน้าและหาทางข้ามอุปสรรคอันใหญ่หลวงของชีวิต...ทั้งหมดคือโครงสร้างแห่งบททดสอบของตัวตนที่ชีวิตจักต้องหยั่งรู้ถึงบริบทแห่งความจริงแท้ของมัน..การเรียนรู้ชีวิตอย่างเข้าใจและไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรค ก้าวข้ามพ้นความขลาดกลัวต่อความโดดเดี่ยว..กล้าที่จะมีชีวิตอยู่โดยลำพัง..โดยไม่จำเป็นต้องไปพึ่งใครต่อใคร..ถือเป็นนิยามแห่งชัยชนะเหนือคุณค่าของชีวิต ที่เปี่ยมไปด้วยพลังอันสง่างาม..นิรันดร์”

สาระความคิดเบื้องต้น..ถือเป็นเครื่องชี้ทางชีวิตที่สำคัญ..ที่จะสร้างพลังให้แก่ คนที่กล้าทำอะไรคนเดียว..ที่จะมีชีวิตรอดบนโลกนี้ได้อย่างมั่นคงและเลอค่าด้วยประสบการณ์อันสลับซับซ้อนของชีวิต...

“พลังของคนที่กล้าทำอะไรคนเดียว” ..หนังสืออันมีค่าของ “โกะโด โทคิโอะ” ที่ปรึกษาด้านธุรกิจและผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาตัวเอง..เจ้าของผลงานหนังสือขายดีตลอดกาลที่รู้จักกันดี"เลิกเป็นคนดีแล้วจะมีความสุข..

การระบุถึงว่า..การใช้พลังงานทำอะไรคนเดียว ช่วยให้ชีวิตเฉียบคม แข็งแกร่ง และเป็นธรรมชาติ ทั้งในด้านตัวตน ความคิด จิตวิญญาณ เป็นการช่วยขับเคลื่อนชีวิตอย่างมีพลังสู่เป้าหมายแห่งปรารถนา..โดยชีวิตจะดำรงอยู่และดำเนินไปอย่างลึกซึ้งและเข้าใจ โดยเฉพาะในประเด็นต่างๆเหล่านี้..

ไม่กล้าถูกเกลียด จึงมุ่งมั่นทำตามเป้าหมายของตนเอง/ไม่ได้ขัดเกลาเอกลักษณ์ของตัวเอง/ฝืนคบเพื่อนที่เข้ากับตัวเองไม่ได้/อยู่กับคนอื่นก็ยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยว/ไม่ผูกมิตรกับคนที่สำคัญกับตัวเองจริงๆ/และ..มัวแต่กลัวจะถูกเกลียด จึงไม่ได้ลงมือทำตามความฝันของตัวเอง..

เหล่านี้จึงเป็นแก่นนำของสาระเรื่องราวแห่งหนังสือ “จิตวิทยาพัฒนาตัวเอง” เล่มนี้..เพื่อให้ผู้อ่านได้ศึกษาและบรรลุสู่ “การใช้ชีวิตอย่างที่ปรารถนา โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร” ทั้งนี้ก็เพราะว่า มันคือทักษะแห่งชีวิตที่สำคัญ ของการรู้จักตัวเอง และ “การอยู่กับตัวเองให้ได้” ..ซึ่งจะนำไปสู่การก่อให้เกิดเสน่ห์ และอาจจะสร้างสรรค์ ซึ่งก็จะตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับคนที่ต้องอยู่กับคนอื่นตลอดเวลา ซึ่งแทบจะไม่มีวันรู้จักชีวิตของตัวเองจริงๆ ซ้ำยังจะต้องเสียเวลาชีวิต..ไปกับ “ภาวะชีวิต” ที่ไม่สร้างสรรค์อีกด้วย..!

ณ ปัจจุบัน โซเชียลมีเดียต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม รวมไปถึง สมาร์ทโฟน อุปกรณ์ที่ใช้โปรแกรมเหล่านี้ ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับผู้คนตลอดเวลา จนขณะนี้กลายเป็นยุคแห่งการเชื่อมต่อถึงกัน โซเชียลมีเดียกลายเป็นเครื่องมือ เติมเต็มความปรารถนาของมนุษย์ ที่ได้รับการยอมรับอย่างเต็มใจ คนส่วนมากจึงพยายามหนีห่างจากการทำอะไรคนเดียว และพยายามไม่ให้ใครเห็น หรือรู้เวลาที่ตัวเองอยู่ตัวคนเดียว โดยไม่อยากถูกมองว่าน่าสมเพช

การกระทำเช่นนี้ทำให้ไม่อาจเปิดเผยถึงความเป็นตัวของตัวเองได้..จำต้องใช้ชีวิตอย่างฝืนทน เพื่อให้กลมกลืนไปกับคนรอบข้าง..กระทั่งนำไปสู่ปัญหาทางจิตใจ..โดยมีคนจำนวนไม่น้อย ที่เหนื่อยหน่ายกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลไปเลย แต่ก็ไม่สามารถจะหาทางออกใดๆได้..!

แท้จริงแล้ว..พลังของการกล้าทำอะไรคนเดียว คือความสามารถและทักษะที่ฝึกฝนได้ การใช้ชีวิตท่ามกลางความสัมพันธ์กับผู้คนในสังคม โดยที่ยังตั้งมั่นในความคิดของตัวเอง และรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้ จะรู้สึกสนุกไม่ว่าจะอยู่กับผู้อื่นหรือยู่คนเดียว แม้เวลาที่ต้องอยู่โดยลำพังก็จะไม่รู้สึกเหงา การจะบังเกิดความรู้สึกที่ดีเช่นนี้ได้ ต้องอาศัยการพูดคุยกับตัวเอง หรือที่เรียกว่าการสะท้อนตัวตน(Self -Reflection) จนเป็นนิสัย

การสะท้อนตัวตนคือการเรียนรู้ชั้นสูง ที่ต้องอาศัยการรับรู้และยอมรับ ค่านิยมของตัวเอง ให้ใช้มันเป็นพื้นฐาน ในการย้อนมองประสบการณ์ของตัวเอง  แล้ววิเคราะห์เพื่อนเปลี่ยนวิถีความคิดหรือพฤติกรรมของตัวเองให้ถูกต้อง รวมทั้งสามารถพัฒนาตัวเองยิ่งๆ..ขึ้นไป

ในแต่ละบทตอนของหนังสือเล่มนี้..ล้วนเป็นสาระประโยชน์อันมีค่าต่อการพินิจพิเคราะห์สู่ตัวอย่างแห่งข้อๆปฏิบัติที่จะเสริมส่งชีวิตให้เข้าใจถึงกลไกแห่งชีวิตที่เป็นชีวิตได้..!

ตัวตนที่อ่อนแอนั้น ไม่ต้องพยายามเติมแต่ง หรือฝันที่จะทำให้มันโดดเด่น แต่จงแสดงตัวตนที่เป็นอยู่ในตอนนี้ออกไป และหากยอมรับว่าตัวเองเป็นคนเช่นนี้ และแสดงตัวตนนี้ออกไปเรื่อยๆ ต่อให้เป็นคนอ่อนแอ ก็จะไม่รู้สึกกังวลกับมันอีกต่อไป..แต่ในทางกลับกัน..หากเอาแต่กังวลถึงข้อเสียของตนเอง จะรู้สึกเสียใจกับอดีตที่ผ่านมา..ไม่มีใครทดแทนใครได้ ตัวเราเองคือหนึ่งเดียวในโลกที่ไม่มีวันช้ำใจ...นี่คือ “การสะท้อนตัวตน”..ถึงการมีชีวิตอยู่คนเดียว บทบาทสำคัญของชีวิตที่ไม่ต้องรับอิทธิพล หรือ ข้อจำกัดจากคนอื่น การคิดสนใจทำสิ่งต่างๆด้วยความคิดและประสบการณ์ของตัวเองอย่างอิสระ โดยไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นเรียกว่า “อิสรภาพ” และสิ่งสำคัญที่ทำให้ได้มา ซึ่งอิสรภาพที่ว่านี้ก็คือ.. “สำนึกในการรับผิดชอบตัวเอง”

“ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล” เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ..เหตุเพราะ..คนที่มองการอยู่คนเดียวในแง่ลบ คือคนที่กลัวการถูกเกลียดอย่างสุดซึ้ง คนเหล่านี้จะเชื่อว่า..มนุษย์จะใช้ชีวิตโดยลำพังไม่ได้ หรือมนุษย์เป็นสัตว์สังคมอย่างไม่คิดเฉลียวใจ จึงพยายามให้ความสำคัญกับเพื่อนมากๆ..

แน่นอนว่า..นี่ไม่ใช่เรื่องผิด และสังคมก็สำคัญจริงๆ แต่มันก็อาจทำให้ต้องใช้ชีวิต อย่างไม่เป็นตัวของตัวเอง จมอยู่กับความเครียดและทำให้ตัวเองเจ็บปวดได้ด้วย...หลายคนคิดว่า หากแสดงตัวตนที่แท้จริงออกไป จะถูกมองว่าไม่รู้จักมองดูสถานการณ์รอบข้าง..ทำให้คบหากันยากหรือถูกกีดกัน...แต่ถ้าเป็นตัวของตัวเองแล้วถูกเกลียด จะยังเรียกอีกฝ่ายว่าเพื่อนได้หรือ?..การใช้เวลากับคนแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร?..

“การยอมรับตัวตน ที่แท้จริงของอีกฝ่าย และอีกฝ่ายก็ยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของเรา..คนลักษณะแบบนี้ ต่างหากที่สมควรเรียกว่าเพื่อน..”

ในความหมายหนึ่งของความเป็นชีวิต.. การเติมเต็มชีวิตถือเป็นส่วนสำคัญ โดยเฉพาะ..ค่านิยมของการใช้ชีวิต..ให้เป็นไปตามความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง..เพราะการคิดว่าเมื่อเป็นตัวเองได้แบบนี้ก็ดีแล้ว..และสามารถสร้างภาพของสภาพแวดล้อมหรือสังคมที่ยอมรับ..

เมื่อทำเช่นนั้น คนที่สนับสนุนการอยู่คนเดียว จึงมักใช้ชีวิตตามความรู้สึกที่เป็นจริงของตัวเอง เพราะคิดว่า..เป็นตัวเองแบบนี้ก็ดีแล้ว..ยังไม่จำเป็นต้องหลอกลวงหรือฝืนใจยอมรับต่อคนรอบข้าง..สามารถใช้ชีวิตเป็นตัวของตัวเองได้อย่างอิสระ ไม่มีสิ่งใดที่จะบ่งบอกถึง การใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างเต็มตัว ได้ดีกว่านี้อีกแล้ว... “จงเลิกใส่ใจการประเมินจากคนอื่น..คนที่ทำอะไรคนเดียวไม่ได้ มักจะใส่ใจ การประเมินจากคนอื่นมากเกินไป กลัวคนอื่นจะมองตนเป็นเบี้ยล่าง คนประเภทนี้มักไม่มั่นใจในค่านิยม หรือเกณฑ์การพิจารณาที่สำคัญในชีวิต..จึงต้องรับรู้ตัวเอง..จากการประเมินค่าของคนอื่นเสมอ..”

“พลังของคนที่กล้าทำอะไรคนเดียว”..นับเป็นหนังสือที่เสริมส่งแรงบันดาลใจสู่การมุ่งมั่นที่จะกระทำและสร้างสรรค์นิยามอันทรงคุณค่าต่อการปฏิบัติของชีวิต..เป็นดวงตาที่เปิดกว้างสู่การอ่านโลกอ่านชีวิต..กระทั่งบังเกิดเป็นแนวทางอันสร้างสรรค์และมีคุณค่า..

การสร้างสถานะแห่งตัวตนขึ้นมาอย่างชัดแจ้งย่อมคือ วิถีสำคัญอันนับเนื่องต่อชีวิต ที่จะเอาชนะอุปสรรคนานา.. และกลายเป็นเบ้าหลอมของจิตวิญญาณอันเข้มแข็งแห่งตัวตน..ในที่สุด..

“อาคิรา รัตนาภิรัต” แปล หนังสือที่มีคุณค่าเล่มนี้ออกมาอย่างอบอุ่น เข้าใจ และตั้งใจ...เมื่อสัมผัสเนื้อในของหนังสือเล่มหนึ่งที่สามารถโน้มนำจิตวิญญาณของเรา ให้ได้ตระหนักคิดเเพื่อที่จะสร้างโอกาส ก้าวไปข้างหน้า..นั่นจึ่งหมายความว่า..

“บางคนได้ยอมแพ้ต่อเหตุการณ์ด้วยคิดว่า มันเป็นโชคชะตา หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง..แต่แท้จริงแล้ว..โชคชะตาคือการเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบของตัวเองต่างหาก..การยอมรับ โดยลำพังคือพื้นฐานของชีวิต...ที่มีความสุขที่สุด...!”