วันที่ 12 ก.ย.2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ที่มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา เป็นประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาครม.แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ของรัฐบาลน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 162 

โดยนายชัยมงคล ไชยรบ สส.สกลนคร พรรคพลังประชารัฐ อภิปรายวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล ว่า พลันที่ได้ทราบว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็นึกถึงประโยคที่บอกว่า คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมาตอกย้ำในคำแถลงนโยบาย ความหวังของคนไทยเริ่มเรืองรอง แต่เมื่อได้เห็นหน้าของคณะรัฐมนตรี ความหวังนั้น ก็พลันเลือนลาง ครม.ชุดนี้ ประกอบไปด้วยคนเก่า 70-80% เพิ่มเติมคนใหม่มาบ้าง เปรียบเสมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ ที่เขียนฉลากเพิ่มเติม บางคนเอาลูกมาแทนพ่อ หรือน้องแทนพี่ ท่านที่มาแทนกันเหล่านั้น ท่านอาจจะเป็นคนดี แต่ท่านบริหารราชการแผ่นดินที่มีเดิมพันเป็นคนไทย 70 กว่าล้านคนได้หรือไม่

"ครม.ชุดนี้ มีองค์ประกอบหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็น สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ที่เป็นผลพวงจากพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีจุดยืนว่าอำนาจรัฐต้องมาจากปลายกระบอกปืน และมีรัฐมนตรีที่เป็นมา 17-18 สมัย ส่วนคนใหม่ก็สืบทอดโดยสายเลือด จึงได้เห็นสื่อมวลชนขนานนามว่า เป็นญาติกาบ้าง เป็นผู้สืบสันดานบ้าง ทำให้เห็นปลายทางของนโยบายรัฐบาลชุดนี้ ว่าไม่น่าจะมีผลประการใด"

นายชัยมงคล กล่าวว่า นโยบายของรัฐบาลชุดนี้ ไม่ต่างจากชุดที่แล้ว เพราะมีต้นทางจากพรรคเพื่อไทยเหมือนกัน เช่น เรื่องปัญหายาเสพติด แต่ท่านบอกเองว่า ในไตรมาสที่สองมีคดียาเสพติดเพิ่มขึ้น นั่นแปลว่าเป็นการบริหารที่ล้มเหลว รวมถึงนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ ที่เพิ่มรายได้ให้ประชาชน ส่วนตัวเชื่อว่าจะมีการจ้างงานจริง แต่คนรวยมีกี่ตระกูล คนจนมีนับ 10 ล้านคน ทำให้เห็นว่านโยบายชุดนี้มาจากชนชั้นนำ เพื่อชนชั้นนำ และกลุ่มทุนขนาดใหญ่ จึงไร้ความหวัง

"เรื่องเหล่านี้ไม่ได้มีแค่การอ่านหรือตัวอักษร แต่ต้องดูการกระทำที่เป็นจริง วันนี้ภาพที่ประชาชนรับรู้ คือตระบัดสัตย์ มีที่ไหน พรรคที่ยกมือให้ 39 เสียง ออกไปเป็นฝ่ายค้าน เปรียบเสมือนหุงข้าวมาด้วยกัน พอข้าวสุก ข้าพเจ้าขอกินคนเดียว แต่พรรคที่งดออกเสียงได้เป็นรัฐบาล" นายชัยมงคลกล่าว

ทำให้นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา พรรคพลังประชารัฐ และอดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ ลุกขึ้นประท้วง โดยอ้างถึงข้อประชุมรัฐสภาข้อที่สี่ 45 ว่า จริงๆแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อนสมาชิกทำผิดข้อบังคับในการเสียดสี ซึ่งตนก็นั่งรอ และมีการพูดจาในเชิงเสียดสีซ้ำแล้วซ้ำเล่า

"ผมแปลกใจว่า หากย้อนกลับไปเมื่อ 2 สัปดาห์หรือ 2 เดือนก่อนนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ก็เห็นด้วย แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร วันนี้เหมือนเปลี่ยนใจ จึงอยากฝากว่าขอให้ช่วยทำตามข้อบังคับอย่างเคร่งครัดด้วย" นายอรรถกร กล่าว

จากนั้น นายชัยมงคล กล่าวว่า ตนขอตอบผู้ประท้วงว่า ตนเองทำหน้าที่ฝ่ายค้าน จึงทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล นักการเมืองไม่สนใจว่าจะเป็นฝ่ายไหน ขอให้ทำประโยชน์กับตัวเองได้ และตนเองไม่อยากเห็นรัฐบาลที่มาจากชนชั้นสูง เพื่อชนชั้นสูง อาศัยมือของประชาชนในคราบประชาธิปไตย แล้วมากอบโกยผลประโยชน์อย่างตะกละตะกรามและมูมมาม

แต่ถูกสส.เพื่อไทยขอให้ถอนคำว่า “ชนชั้นสูง เพื่อชนชั้นสูง” นายชัยมงคล จึงยอมถอนเพื่อความสบายใจ