เพิ่มดีกรีแรงร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับ ปรากฏการณ์ม็อบชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลอิสราเอล ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู
โดยปรากฏการณ์ม็อบที่ว่า ก็เริ่มมาตั้งแต่ช่วงต้นของ “สงครามกาซา” เมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้ว เป็นต้นมาแล้ว จากประชาชนชาวยิวจำนวนหนึ่ง ที่ไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อรัฐบาลนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ซึ่งเห็นว่า ประสบความล้มเหลวในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ประเทศ จนทำให้กลุ่มติดอาวุธของชาวปาเลสไตน์ต่างๆ เช่น กลุ่มฮามาส กลุ่มอิสลามิกจีฮัด นำกำลังข้ามพรมแดนจากฉนวนกาซา เข้ามาก่อเหตุโจมตีถึงในดินแดนของอิสราเอลได้ พร้อมกับสังหารประชาชนไปถึง 1,139 คน และจับตัวประกันนำไปกักขังไว้ในฉนวนกาซาอีกมากกว่า 240 คน ในจำนวนนี้ปรากฏว่า มีพลเมืองชาวไทยที่ไปเป็นแรงงานที่อิสราเอลรวมอยู่ด้วย
การชุมนุมประท้วงได้เริ่มขึ้น ณ แต่บัดนั้น ก่อนทวีจำนวนผู้เข้าร่วมชุมนุมเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ อย่างที่เรียกว่า เป็น “ไฟม็อบที่จุดติด” ขยายวงจากกรุงเทลอาวีฟ เมืองหลวง ไปยังเมืองอื่นๆ รวมไปถึงเขตชุมชนหลายแห่ง แม้กระทั่งในย่านบ้านพักของนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู เพื่อแสดงถึงความไม่พอใจอย่างรุนแรงที่มีขึ้น จนประเด็นในการชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาล ได้ลุกลามไปเป็นการก่อกระแสกดดันเรียกร้องให้รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู เร่งบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮามาส อันเป็นกลุ่มติดอาวุธผู้นำในการสู้รบกับกองทัพอิสราเอลในฉนวนกาซา เพื่อแลกเปลี่ยนกับการให้กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันที่เหลืออยู่ รวมไปถึงการเกิดกระแสกดดันเรียกร้องให้นายเนทันยาฮู ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศ
ทั้งนี้ การประท้วงได้ขยายวงลุกลามเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วมชุม นุมมากขึ้นเป็นลำดับ จนกระทั่งเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ถูกยกให้ปรากฏการณ์ม็อบชุมนุมประท้วงในอิสราเอลครั้งใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่การชุมนุมประท้วงได้เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับไฟสงครามกาซา ที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้ ซึ่งคร่าชีวิตชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาไปแล้วมากกว่า 40,000 คน
โดยมีรายงานว่า มีผู้เข้าร่วมชุมนุมประท้วงตามเมืองต่างๆ ทั่วอิสราเอลรวมแล้วกว่า 750,000 คน แบ่งเป็นการชุมนุมประท้วงตามท้องถนนสายต่างๆ ในกรุงเทลอาวีฟกว่า 500,000 คน และการชุมนุมประท้วงในเมืองอื่นๆ รวมกัน เช่น ไฮฟา ฮาเดรา และชารอนใต้ เป็นต้น อีกราวๆ 250,000 คน
สาเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ม็อบชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์ในอิสราเอลนั้นก็คือ การพบร่างอันไร้วิญญาณของตัวประกันถึง 6 ศพในคราวเดียวกัน ที่อุโมงค์ลับแห่งหนึ่งกลุ่มฮามาส ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ก่อนหน้า
ตามการคาดการณ์ของกองกำลังป้องกันอิสราเอล หรือไอดีเอฟ แถลงว่า ตัวประกันทั้ง 6 ราย คาดว่าจะถูกกลุ่มติดอาวุธฮามาสสังหาร ก่อนที่ทหารของกองกำลังไอดีเอฟจะไปถึงอุโมงค์ลับดังกล่าว ซึ่งเป็นสถานที่กักขังตัวประกันทั้ง 6 คนเหล่านั้นไว้ หลังจากที่เคลื่อนย้ายสถานที่กักขังพวกเขามาหลายแห่ง ตลอดช่วง 10 เดือนที่พวกเขาถูกจับเป็นตัวประกัน ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมปีที่แล้วเป็นต้นมา
การเสียชีวิตของตัวประกันทั้ง 6 รายดังกล่าว ก็ไม่ผิดอะไรกับการเติมเชื้อไฟของการชุมนุมประท้วงที่เดิมก็ลุกเป็นเปลวเพลิงมาก่อนหน้านั้น ให้ทวีความลุกโชนอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น จากการที่ตลอดช่วง 1 สัปดาห์เป็นต้นมาหลังตัวประกันทั้ง 6 รายเสียชีวิต ก็ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง เพื่อต่อต้านรัฐบาล เพิ่มจำนวนมากขึ้นทั้งในกรุงเทลอาวีฟ และเมืองต่างๆ ก่อนที่ม็อบจะมีจำนวนมากมายเป็นประวัติการณ์ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามที่กล่าวแล้วข้างต้น
ประเด็นการชุมนุมประท้วง ก็เรียกร้องให้รัฐบาลนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู เร่งบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮามาสให้เร็วที่สุด เพื่อแลกกับการให้กลุ่มฮามาสปล่อยตัวประกันที่เหลืออยู่ ซึ่งคาดว่า ยังมีตัวประกันที่กลุ่มฮามาสจับไปกักขังไว้อีกประมาณกว่า 100 คน
จากการเปิดเผยของผู้ชุมนุมประท้วงรายหนึ่ง ระบุว่า ปฏิบัติการทางทหารเพื่อที่จะปลดปล่อยตัวประกันในช่วง 10 เดือนกว่าที่ผ่านมา ยังไม่ประสบผลสำเร็จ แถมมิหนำซ้ำก็ยังทำให้ตัวประกันจำนวนหนึ่งต้องพลอยเสียชีวิตจากการปฏิบัติทางทหารไปด้วย ดังเช่นตัวประกันทั้ง 6 รายที่ถูกพบว่ากลายเป็นศพนี้ เพราะถูกกลุ่มติดอาวุธฮามาสสังหารก่อนที่จะหลบหนีออกจากที่กบดานไป ดังนั้น วิธีการเดียวที่ยังเหลือในการช่วยตัวประกันเหล่านี้ ให้ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย ก็คือ การที่รัฐบาลอิสราเอล ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ต้องเร่งบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮามาสโดยเร็ว เพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัวประกันที่เหลือ นั่นเอง
ทางกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง ยังเผยด้วยว่า หากรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีเนทันยาฮู ยังไม่เร่งจัดการเจรจาหยุดยิง เพื่อนำไปสู่การบรรลุข้อตกลง และการปล่อยตัวประกันที่เหลืออยู่ การชุมนุมประท้วงก็จะทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้น ทั้งจากผู้ร่วมชุมนุม และกระแสกดดันเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูลาออก