กองทัพกำลังคุกรุ่น  เพราะ เป็นช่วงการจัดทำบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้าย นายชั้นนายพล ประจำปี 2567 หรือโผโยกย้ายทหาร

อีกทั้งเป็นช่วงการเปลี่ยนม้ากลางศึก จาก สุทิน คลังแสง มาเป็น “สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย  รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ควบ รมว.กลาโหม คนใหม่

ที่สำคัญและยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คือเป็นช่วงที่บัญชีรายชื่อโยกย้ายคาค้างอยู่ 2 รัฐบาล  คือ สุทิน ในช่วงเป็น รมว. กลาโหมรักษาการ ได้ประชุมบอร์ด 6  เสือกลาโหม พิจารณาตำแหน่งต่างๆ เมื่อ 3 ก.ย. 2567 ที่ผ่านมา  พอวันรุ่งขึ้น 4 ก.ย. ก็มีโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ภูมิธรรม ให้เป็น รมว. กลาโหม

หน้าที่ของ สุทิน ก็สิ้นสุดลง แม้ตอนนั้น คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ จะยังไม่ได้ เข้าถวายสัตย์ฯ และแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก็ตาม

แต่พลเรือนหรือจะสู้บรรดานายทหารที่เรียนจบหลักสูตรเสนาธิการมาแล้ว สุทิน จึงเดินเข้าสู่ “กับดัก” โดยให้ สุทินเป็นเครื่องมือในการป้องกันไม่ให้ ภูมิธรรม มาแก้ไขโผทหาร เพราะหลังการประชุมยาวนาน 3 ชั่วโมง  ในที่ประชุมที่มีทั้งปลัดกลาโหม  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก  ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารอากาศ  ขอร้องให้ทุกคน เก็บเป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายออกสื่อ หรือรายงานคนที่ไม่เกี่ยวข้อง โดยพุ่งตรงที่ สุทิน

จนทำให้ สุทิน ต้องหนีสื่องดการให้สัมภาษณ์ โดยพูดแค่เพียงว่า “เรียบร้อยแล้ว” ทั้งๆที่ ยังไม่ลงตัวทุกตำแหน่ง  จนทำให้ สุทิน ยังไม่ลงนาม แต่เพราะเห็นว่าใช้เวลาประชุมนานแล้ว จึงได้ยุติ เพื่อให้ รมว. กลาโหมคนใหม่ มาทำหน้าที่ต่อ  เพราะในเวลานั้นทราบกันแล้วว่าได้มีมีการทูลเกล้ารายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นไปแล้ว

เมื่อ สุทิน ประกาศว่าเรียบร้อยแล้วก็เข้าทางฝ่ายกองทัพ  ในการรีบลงนามในบัญชีรายชื่อของตนเองเพื่อป้องกันการแก้ไขล้วงลูก แม้ว่าตามระเบียบแล้ว จะต้องให้ได้ข้อยุติเห็นพ้องกันทั้งหมดแล้วลงนามพร้อมกันทั้ง 6 เสือ กลาโหม แต่เมื่อ สุทิน ระบุว่าเรียบร้อยแล้วก็ทำให้เข้าใจว่าทุกตำแหน่งลงตัวแล้ว

แต่เป็นที่รู้กันว่า ที่มีปัญหามากที่สุดคือ ตำแหน่ง ผบ.ทร.คนใหม่ เพราะแม้ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร. จะเสนอชื่อ “บิ๊กแมว” พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ที่ปรึกษาพิเศษกองทัพเรือ เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 23 ขึ้นเป็น ผบ.ทร. คนใหม่  แต่สมาชิกบางคน ในที่ประชุมรวมทั้ง สุทิน เห็นแย้งเนื่องจาก พล.ร.อ. จิรพล ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งหลัก และไม่ได้จบจากโรงเรียนนายเรือ แต่จบจากโรงเรียนนายเรือเยอรมัน ซึ่งตามธรรมเนียมของกองทัพเรือแล้วยังไม่เคยให้คน ที่จบจากต่างประเทศ  เป็น ผบ.ทร.

อีกทั้งมีแคนดิเดต ผบ.ทร. อยู่ใน 5 ฉลาม ทัพเรือถึง 3 คน ไม่เหมือนในอดีตที่เคยตั้ง “บิ๊กหรุ่น” พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ที่ปรึกษาพิเศษทร. เพราะในเวลานั้นในระดับ 5 ฉลาม  เกษียณราชการ อีกทั้งก็มีประวัติรับราชการในตำแหน่งหลักมาตลอด

แตกต่างจาก พล.อ.จิรพล ที่มีตำแหน่งหลักใน สายประดู่เหล็กน้อย มากเคยเป็น ผู้บังคับการเรือหลวงสุโขทัย และผู้บัญชาการกองเรือยามฝั่ง และ รองเจ้ากรมยุทธศึกษา ทร. จึงมีการเสนอชื่อ พล.ร.อ.สุวิน แจ้งยอดสุข รองผบ. ทร. ที่อาวุโสสูงสุด และเส้นทางรับราชการอยู่ในสายประดู่เหล็ก สายกำลังรบ ทางเรือมาตลอด เป็น ผบ.ทร.คนใหม่

แต่การทัดทาน ในที่ประชุมไม่เป็นผล เนื่องจาก พล.ร.อ.อะดุง ยืนกราน ที่จะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นแคนดิเดตคนอื่นและยืนยันชื่อ พล.ร.อ.จิรพล  เพราะไม่ได้มีระเบียบห้ามไม่ให้คนที่จบต่างประเทศขึ้น เป็นผบ. ทร.  ส่วนเรื่องประเพณีหรือธรรมเนียมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

เมื่อการประชุมใช้เวลายาวนานตั้งแต่บ่ายสองโมง จนถึง 5 โมงเย็น จึงได้ยุติ การประชุม โดย สุทิน ต้องการให้ รมว. กลาโหมคนใหม่ มาดำเนินการต่อ อีกทั้งมี “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพานิชย์ เลขานุการกลาโหม ในยุคของตนเอง มาเป็นรมว. กลาโหมคนใหม่ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจเรื่องในกองทัพมากกว่าได้ดำเนินการต่อ แต่ สุทิน ก็ติดกับดักของกองทัพไปเรียบร้อยแล้ว ตรงที่ให้บอกสื่อสั้นๆ แค่ว่า “เรียบร้อยแล้ว” ไม่ให้บอกว่าโผยังไม่ลงตัว หรือ ยังไม่จบ และขอให้ สุทิน เว้นการให้สัมภาษณ์สื่อหรือให้ข่าวสารในเรื่องของการแต่งตั้งโยกย้ายเป็นอันขาดเพราะเป็นเรื่องของของชั้น ความลับ

ดังนั้นตามขั้นตอน พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม จึงได้ดำเนินการตามขั้นตอนในการให้ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ลงนามในคำสั่ง ที่เสนอมาทุกหน้า เพื่อป้องกันการแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยอ้างว่าที่ประชุม 6 เสือ กลาโหม ที่มีสุทินเป็นประธาน ได้อนุมัติแล้ว

ทั้งนี้เพราะกองทัพมองว่า สุทิน คุยง่ายกว่า เพราะเป็นพลเรือนไม่มีรุ่น ไม่มีเหล่า

เสมือนว่ากองทัพก็ขีดเส้น จำกัดให้รัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ มาแค่ลงนามเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้ว่าตามระเบียบแล้ว ภูมิธรรม และ พล.อ.ณัฐพล จะสามารถเรียกประชุม 7 เสือกลาโหมใหม่ ได้ก็ตาม

ทั้งนี้เป็นเพราะหาก พล.อ.ณัฐพล มาร่วมประชุม 7 เสือกห. ด้วยอาจมีการแย้ง เพราะมีความรู้เรื่องในกองทัพเป็นอย่างดี อีกทั้ง พล.อ.ณัฐพล เป็นน้องรักของ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ และ รมว.กลาโหม ซึ่งเคย มี “สัญญาใจ” กับ พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ อดีตผู้บัญชาการทหารเรือ  คนก่อน เมื่อโยกย้าย เดือนต.ค. 2566 ที่ พล.ร.อ. อะดุง เป็นผบ. ทร. ก่อน 1 ปีและจะให้ พล.ร.อ.สุวิน  เป็นต่อในปีนี้ จึงต้องการคืนความชอบธรรมให้ พล.ร.อ.สุวิน ที่ชิงเก้าอี้ผบ. ทร.มาถึง 3 ปีแล้ว ด้วยคำที่ว่าให้รอเพราะเป็นรุ่นน้อง ให้รุ่นพี่ขึ้นก่อน  แล้วก็รอมาจนปีสุดท้ายจากเกษียณราชการ จึงเป็นปัญหาภายในของกองทัพเองด้วย ที่ต้องการป้องกันการถูกล้วงลูก เปลี่ยนแปลง 

ดังนั้นเรื่องโผโยกย้าย ทหารจึงจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ความมีอำนาจบารมีของ ภูมิธรรม รมว. กลาโหมคนใหม่สายตรงบ้านจันทร์ส่องหล้า  ว่าจะสามารถบริหารจัดการปัญหาความขัดแย้งในกองทัพได้หรือไม่โดยมี พล.อ.ณัฐพล เป็นผู้ช่วยแต่มองกันว่า ภูมิธรรม ก็คงจะต้องสร้างสัมพันธ์อันดี กับทางกองทัพไว้ก่อน ไม่มาแบบห้าวหาญ ล้างบาง

ท่ามกลางการจับตามองว่า ภูมิธรรม มีธงมาคุมกองทัพในการป้องกันการปฏิวัติรัฐประหารซึ่งก่อนหน้านี้ สุทิน ได้ผลักดันร่างแก้ไขพระราชบัญญัติจัดระเบียบกระทรวงกลาโหมปี 2551 ผ่านสภากลาโหม เรียบร้อยแล้วรอนำเข้าคณะรัฐมนตรีเพื่อส่งเข้าสภาเท่านั้น รวมถึงการมาล้างคู่อำนาจเก่าในกองทัพโดยเฉพาะขั้วอำนาจสายบ้านป่ารอยต่อฯ ของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เคยคุมกองทัพมายาวนานรวมถึงในยุคคสช. อีกเกือบ 10 ปี

เพราะในกองทัพเรือเองขั้วอำนาจปัจจุบันก็ยังเป็นสายบ้านป่ารอยต่อฯ ที่ถูกเรียกว่าเป็นสายเรือดำน้ำจีน ที่พยายามจะผลักดันให้โครงการนี้เดินหน้าไปต่อได้เพราะเป็นโครงการที่ พล.อ.ประวิตร ได้อนุมัติเอาไว้ตั้งแต่รัฐบาล คสช. แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะถึงอย่างไรผู้บัญชาการเหล่าทัพแม้จะเป็นคนละกลุ่มคนละสาย ก็ต้องจับมือกันป้องกันฝ่ายการเมืองแทรกแซงล้วงลูก

เพราะจะเห็นได้ว่าการประชุม 6 เสือกลาโหมที่มี สุทิน เป็นประธานนั้น แม้ความเห็นจะไม่ตรงกันในหลายตำแหน่ง แต่ไม่มีใครเสนอให้มีการโหวตลงมติแม้ว่าตามระเบียบของพ.ร.บ.กลาโหม จะเปิดช่องให้สามารถโหวตได้ก็ตาม  แต่ผู้บัญชาการเหล่าทัพก็ไม่ก้าวก่ายอำนาจกัน

แม้ว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพที่เป็นเตรียมทหารรุ่น 24 จะไม่สามารถผลักดันเพื่อนร่วมรุ่น อย่าง “บิ๊กหนุ่ย” พล.อ.ธราพงษ์ มะละคำ ผู้ช่วยผบ.ทบ. ให้ขึ้นเป็นผบ.ทบ. ได้เพราะเพราะ “บิ๊กต่อ” พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ยืนยันชื่อ “บิ๊กปู” พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ เสธ.ทบ. (ตท.26) เป็นผบ.ทบ. คนใหม่

แต่อย่างน้อยเตรียมทหารรุ่น 24 ก็ได้ส่ง “บิ๊กหยอย” พล.อ.อุกฤษฏ์  บุญตานนท์ ผู้ช่วยผบ. ทบ. ข้ามไปเป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ  เพราะเป็นคนเก่ง เติบโตมาในสายยุทธการ สายบุ๋น และมีอายุราชการถึง 2570  คุมความมั่นคงได้ยาวนานพร้อมกับ พล.อ.พนา ที่เกษียณราชการ 2570 เช่นกัน

ส่วน พล.อ.ธราพงษ์ เองก็คาดว่าจะถูกส่งข้ามไปเป็นรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด  เพื่อเตรียมจะเป็นผบ. ทหารสูงสุดคอแดง คนที่ 3 ต่อจากผบ. พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี  ตท.24 ที่จะเกษียณราชการตุลาคม 2568  ที่จะทำให้เตรียมทหารรุ่น 24 ยังคงคุมกองทัพ และคุมความมั่นคง อยู่ต่อไป

เพราะที่กลาโหมก็ยังมีเตรียมทหารรุ่น 24 รอต่อคิวเป็นปลัดกลาโหมคนใหม่ ต่อจาก พล.อ.สนิธชนก ที่จะเกษียณตุลาคม 2568 เช่นกัน  เช่น “บิ๊กปั้น” พล.อ.ไพบูลย์ วรวรรณปรีชา ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผนกลาโหม แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนจาก พล.อ.สนิธชนก  เพื่อนร่วมรุ่นด้วยกันเองก็ตาม เพราะมีเพื่อนร่วมรุ่นคนอื่นรออยู่อีกหลายคน

ดังนั้นเตรียมทหารรุ่น 24 จึงไม่ต้องออกแรง หรือจะผลักดันให้ “บิ๊กน้อย” พล.ร.อ.วรวุฒิ พฤกษารุ่งเรือง เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 24 เป็นผบ.ทร.  จึงให้ เตรียมทหารรุ่น 23 ยังคงใช้อำนาจต่อไป  เป็นไปตามที่พล.ร.อ.อะดุง เสนอชื่อ พล.ร.อ.จิรพล  เพราะม่านประเพณี ไม่ใช่ระเบียบ กฎหมายลายลักษณ์อักษร สามารถฉีกทิ้งได้เสมอ

เพราะหากมีคนแรกหรือครั้งแรก ก็จะทำให้กองทัพเรือมีการปรับวิถีธรรมเนียมกันใหม่ นายทหารเรือที่จบจากโรงเรียนนายเรือก็จะไม่ต้องกดดันในการที่จะต้องทำหน้าที่ให้ดีแสดงถึงความเป็นผู้นำเพื่อที่จะลงนั่งในตำแหน่งสำคัญและหวังเติบโตจนเป็นผู้บัญชาการทหารเรือ เพราะเส้นทางรับราชการไม่มีผล หรือจบจากที่ไหนก็ไม่มีผลแต่อยู่ที่คอนเน็คชั่นและการสนับสนุนและเกมอำนาจในห้วงเวลานั้นๆ

ไปๆมาๆไม่ใช่นักการเมืองที่มาทำลายกองทัพ หรือทำให้เกิดความขัดแย้งในกองทัพ แต่กลายเป็นทหารด้วยกันเอง ที่ขัดแย้งกันเองเสียมากกว่า เพราะศึกชิงอำนาจที่เป็นมาทุกยุคทุกสมัย !