"พิพัฒน์" ยืนยันมีข่าวดี! ค่าจ้างขั้นต่ำ 400 บาทก่อนประกาศใช้ 1 ต.ค.นี้ ขณะที่ "ธปท." เปิดรายงานการประชุมกนง. เผย กรรมการฯ 1 ท่านเห็นควรปรับลดดอกเบี้ย เหตุเศรษฐกิจขยายตัวต่ำ-ช่วยลดภาระหนี้รายได้น้อยและธุรกิจรายเล็ก-กังวลกลุ่มเปราะบางขยายฐานกว้างขึ้น พร้อมเกาะติดสินเชื่อด้อยคุณภาพกระจายจากกลุ่มรายได้น้อยไปยังกลุ่มรายได้ที่สูงขึ้น

                    
เมื่อวันที่ 4 ก.ย.67 นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน บอกว่า ความคืบหน้าการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำยังคงเป็นไปตามนโยบายของอดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งจะมีการทำงานต่อเนื่อง โดยในเดือนนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการไตรภาคีอีกสองครั้งก่อนจะประกาศตัวเลขอัตราค่าจ้างใหม่ซึ่งจะมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคมนี้ เป็นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ 400 บาทที่จะประกาศใช้พร้อมกันทั้งประเทศ แต่จะเป็นการปรับขึ้นอัตราอัตราค่าจ้างต่ำในกลุ่มอาชีพ แยกตามขนาดของสถานประกอบการ
    
ขณะที่นโยบายภาพใหญ่ของกระทรวงแรงงาน ต้องรอการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาอีกครั้งโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แต่เบื้องต้นได้นำส่งนโยบายการดูแลภาคแรงงานไปประกบกับนโยบาลใหญ่ของรัฐบาลผ่านพรรคร่วมรัฐบาลแล้ว
    
 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยรายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (ฉบับย่อ) ครั้งที่ 4/2567 โดยระบุว่า คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวตามที่ประเมินไว้ โดยเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าจะขยายตัวสมดุลขึ้นจากทั้งอุปสงค์ในประเทศและภาคต่างประเทศ
    
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ มีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจในบางภาคส่วนโดยเฉพาะ 1.การบริโภคภาคเอกชนที่แรงส่งอาจชะลอกว่าที่ประเมินไว้จากปัจจัยต่างๆ เช่น รายได้แรงงานมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าลง โดยเฉพาะลูกจ้างภาคการผลิตและผู้ประกอบอาชีพอิสระ ความเชื่อมั่นผู้บริโภคในกลุ่มครัวเรือนรายได้ปานกลางถึงต่ำที่ปรับลดลง รวมทั้งคุณภาพสินเชื่อของครัวเรือนบางกลุ่มที่ปรับด้อยลง และ 2.การส่งออกและภาคการผลิตในกลุ่มที่ฟื้นตัวช้าและมีแนวโน้มถูกกดดันต่อเนื่องจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ปรับลดลง ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงทุนภาคเอกชนในระยะต่อไป และอาจมีนัยสำคัญต่อศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว
    
คณะกรรมการฯ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มทยอยกลับสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567 และมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ใกล้เคียงขอบล่างของกรอบเป้าหมาย ส่วนหนึ่งจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น การส่งผ่านผลของอัตราแลกเปลี่ยนไปยังเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ และตลาดแรงงานที่มีความยืดหยุ่นจากการมีลูกจ้างอิสระและแรงงานต่างด้าวที่สามารถกลับเข้ามาเป็นลูกจ้างนอกภาคเกษตรได้ จึงทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจส่งผลต่อการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานจำกัด ประกอบกับการนำเข้าสินค้าจีนที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
    
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำไม่ได้สะท้อนภาวะเงินฝืด (deflation) และมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาค่าครองชีพ โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยที่เผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงกว่าครัวเรือนกลุ่มอื่นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยมีสัดส่วนการบริโภคในหมวดอาหารที่สูงกว่า ประกอบกับการปรับราคาของสินค้าราคาถูกมักเพิ่มขึ้นในอัตราที่มากกว่าสินค้าชนิดเดียวกันที่ราคาแพงกว่า
    
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่ากรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 1-3% มีส่วนช่วยยึดเหนี่ยวเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลางได้ดีและมีความยืดหยุ่นเพียงพอในการรองรับความผันผวนจากปัจจัย ด้านอุปทาน เช่น การปรับขึ้นของราคาพลังงานโลกในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อไม่สูงค้างนานจากปัจจัยดังกล่าว
    
นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้าจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของราคาที่มาจากปัจจัยด้านอุปทานรวมถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีความไม่แน่นอนสูงขึ้น กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ยืดหยุ่นจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลเสถียรภาพด้านราคาในระยะปานกลาง
    
คณะกรรมการฯ ตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างภาคเศรษฐกิจและภาคการเงิน (macro-financial linkages) คุณภาพสินเชื่อครัวเรือนชะลอลงโดยเฉพาะสินเชื่อที่อยู่อาศัยและเช่าซื้อ อีกทั้งเห็นสัญญาณของการด้อยคุณภาพที่เริ่มกระจายจากครัวเรือนกลุ่มรายได้น้อยไปยังกลุ่มรายได้ที่สูงขึ้น จึงเห็นควรให้ติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่อาจส่งผลให้สถาบันการเงินเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อในภาพรวมเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผล กระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมและการขยายตัวของสินเชื่อในภาพรวม รวมทั้งส่งผลต่อเนื่องไปยังกิจกรรมทางเศรษฐกิจผ่านการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน และจะย้อนกลับมากระทบคุณภาพสินเชื่ออีกครั้ง โดยต้องเฝ้าระวังวงจรสะท้อนกลับเชิงลบระหว่างภาคเศรษฐกิจและ ภาคการเงินดังกล่าว (adverse feedback loop)
    
โดยกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจที่โน้มเข้าสู่ศักยภาพและการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน โดยพิจารณาว่า 1.เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ และ 2.หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง กระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ (debt deleveraging) ควรเกิดขึ้นต่อเนื่อง
    
ทั้งนี้ กรรมการจะติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อภาวะการเงินและเศรษฐกิจโดยรวมอย่างใกล้ชิด รวมถึงนัยต่อการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไป
    
ขณะที่กรรมการ 1 ท่านเห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเห็นว่า 1.เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำลงจากปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนขึ้น 2.มีส่วนช่วยบรรเทาภาระลูกหนี้ได้บ้าง โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้น้อยและธุรกิจขนาดเล็กที่มีข้อจำกัดในการปรับตัวจากปัญหาเชิงโครงสร้าง และ 3.มีความกังวลว่ากลุ่มที่มีความเปราะบางอาจขยายฐานกว้างขึ้น
    
การดำเนินนโยบายการเงิน คณะกรรมการฯ มีมติ 6 ต่อ 1 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.50 ต่อปี โดย 1 เสียง เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี คณะกรรมการฯ เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวตามที่ประเมินไว้จากการท่องเที่ยวและอุปสงค์ในประเทศ
    
ขณะที่การส่งออกโดยรวมฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยการส่งออกสินค้าบางกลุ่มยังถูกกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง ทั้งนี้ เศรษฐกิจในแต่ละภาคส่วนยังฟื้นตัวแตกต่างกัน โดยรายได้แรงงานในภาคการผลิตและผู้ประกอบอาชีพอิสระมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่ากลุ่มอื่น
    
ด้านอัตราเงินเฟ้อ มีแนวโน้มปรับลดลงกว่าที่ประเมินไว้ โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567 ภาวะการเงินโดยรวมตึงตัวขึ้นบ้าง คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรติดตามผลกระทบของคุณภาพสินเชื่อที่ด้อยลงต่อต้นทุนการกู้ยืมและการขยายตัวของสินเชื่อในภาพรวม รวมถึงนัยต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
    
คณะกรรมการฯ ตระหนักถึงปัญหาการเข้าถึงสินเชื่อของ SMEs จึงสนับสนุนมาตรการเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น มาตรการค้ำประกันสินเชื่อ รวมทั้งยังสนับสนุนนโยบายของ ธปท. ที่ให้สถาบันการเงินช่วยเหลือลูกหนี้ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและมีส่วนช่วยให้กระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ (debt deleveraging) เกิดขึ้นต่อเนื่อง
    
ภายใต้กรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่มีเป้าหมายรักษาเสถียรภาพราคา ควบคู่กับดูแลเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน และรักษาเสถียรภาพระบบการเงิน กรรมการส่วนใหญ่เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันยังสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ และเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว
    
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของเศรษฐกิจและภาวะการเงินที่มีความเชื่อมโยงกัน โดยจะพิจารณานโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า