วันที่ 4 ก.ย. 2567 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน แสดงความเห็นภายหลังเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ ว่า ถ้าว่าตรงๆ ครม.ชุดใหม่คงเป็นไปในลักษณะของโควตาครอบครัว ที่จะเห็นว่าพอลูกเป็นไม่ได้ก็เอาพ่อมาเป็น เอาน้องมาเป็น เอาเพื่อนมาเป็น ซึ่งบางทีต้องยอมรับว่า เวลาเราพูดถึงการเมือง เราก็อยากจะได้คนที่มีความสามารถตรงกับเรื่องนั้นจริงๆ แต่เมื่อเจอกับทั้งเรื่องจริยธรรม เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งเป็นการตีความอย่างกว้างของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จึงทำให้สุดท้ายกลายเป็นเก้าอี้ดนตรีที่หมุนเวียนกันไป

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ตนไม่มั่นใจว่าคนที่มานั่งเป็นรัฐมนตรีจะเป็นตัวจริงหรือไม่ หรือจะต้องเป็นมีคนอยู่เบื้องหลัง และคนที่มาเป็นรัฐมนตรี ก็อาจจะไม่ใช่ตัวแสดงจริงๆ ซึ่งจะทำให้การทำงานบริหารราชการแผ่นดินในอนาคตมีปัญหาต่อไปได้ รวมถึงทำให้การตรวจสอบของฝ่ายค้านทำได้ยากยิ่งขึ้น

สุดท้ายสิ่งที่เกิดขึ้นผ่าน ครม.ชุดนี้ จะกลายเป็นว่าตัวจริงอยู่หลังฉาก ส่วนคนที่มาเป็นรัฐมนตรี ก็เป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องต่อไปที่จะต้องมีการวิพากษ์วิจารณ์ รวมไปถึงหากในอนาคตมีการแก้ไข ก็คงต้องดูว่า สุดท้ายแล้วจะยังยอมรับให้ระบบแบบนี้ดำเนินต่อไปในอนาคตหรือไม่ 

ส่วนที่ถูกมองว่าเป็น ครม.ครอบครัวนั้น นายรังสิมันต์ มองว่า ในสัปดาห์หน้าคงจะเป็นการแถลงนโยบาย ซึ่งเราจะทราบแล้วว่า การแถลงนโยบายได้เกิดขึ้นไปแล้วก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยการแถลงนโยบายที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้า คงจะเป็นการแถลงที่ไม่จำเป็นต้องจริงจังนัก เพราะเป็นการแถลงให้สาธารณะชนได้รับทราบ

ส่วนจะเป็นสมบัติผลัดกันชม หรือโควตาครอบครัวจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้น ตนเชื่อว่าสังคมจำนวนมากก็คงตั้งคำถามในลักษณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อไทย 

”เราได้เห็นการทำงานในช่วงรัฐบาลนายเศรษฐา ซึ่งเป็นการทำงานที่มีนายกฯ สองคน มาวันนี้ไม่แน่ใจว่า เป็นนายกฯ สองคน หรือ นายกฯ คนหนึ่ง แต่จะเป็นนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหรือไม่ ก็ไม่แน่ใจ สุดท้ายเราอยู่ในบรรยากาศที่การเมืองขาดเสถียรภาพ ขาดความแน่นอน และไม่รู้ว่าตกลงแล้วใครคือผู้ที่ตัดสินใจ“

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า การที่เราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ตัดสินใจ หรือผู้ที่ตัดสินใจไม่ต้องรับผิดชอบอะไรโดยตรง จะสร้างปัญหาทางการเมืองอย่างแน่นอน นี่คือข้อที่ตนกังวล สิ่งต่อมาตนเชื่อว่ารัฐบาลนี้ จะเป็นรัฐบาลที่อาจจะกังวลทุกอย่างจนไม่กล้าทำอะไร ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาใหม่ เพราะความท้าทายของโลกมีหลากหลายรูปแบบ ถ้าคุณไม่กล้าทำอะไรเลย เพราะกลัวว่าจะผิดจริยธรรม หรือจะถูกองค์กรอิสระ หรือศาลรัฐธรรมนูญเล่นงาน สุดท้ายก็จะเป็นรัฐบาลที่บริหารอะไรไม่ได้เลย 

นายรังสิมันต์ มองว่า ในทางการเมืองรัฐบาลอาจจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ไปเต็มๆ แต่ผลเสียที่เกิดขึ้นของเรื่องนี้ก็คือประชาชน ตนจึงคิดว่าโจทย์สำคัญของรัฐบาลนี้ คือคุณจะแก้ปัญหาวิกฤติที่ทำลายเสถียรภาพของรัฐบาลอย่างไร ถ้าแก้โจทย์เรื่องนี้ไม่ได้ ตนเชื่อว่าการบริหารงานของรัฐบาลยากที่จะประสบความสำเร็จ

นายรังสิมันต์ ระบุว่า หน้าตาของรัฐมนตรีส่วนใหญ่ก็เป็นคนเดิม แต่พอจะไปวัดไปวาได้หรือไม่นั้น นายรังสิมันต์ ตั้งคำถามว่า ในยุคนายเศรษฐาไปได้แค่ไหน นโยบายเรือธงอะไรบ้างที่ได้สัญญากับประชาชน มีเรื่องใดสำเร็จแล้วบ้าง ถ้าไม่สำเร็จ คำถามถัดมาคือคนเดิมที่มีอำนาจแบบเดิมในวันนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร 

มากไปกว่านั้น คือมีส่วนผสมใหม่ ซึ่งมีคนที่อยากจะมาเป็นรัฐมนตรี แต่เป็นไม่ได้ จึงต้องอยู่หลังฉาก อยู่ภายใต้เงามืด ส่งตัวแทนมาทำหน้าที่แทน แล้วจะบริหารประเทศได้ดีกว่าเดิมได้อย่างไร 

ดังนั้น ตนจึงคิดว่า ส่วนผสมในลักษณะแบบนี้ ไม่ได้ตอบโจทย์ หรือปัญหาของประเทศชาติที่กำลังรออยู่ ตนนึกไม่ออกว่ารัฐบาลที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้อย่างไร จะสามารถแก้ปัญหา หรือผลักดันเรื่องต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จได้หรือไม่ หรือกลายเป็นปัญหาใหม่ของสังคมไทย ตนไม่สามารถตอบได้

ส่วนมีการเตรียมความพร้อมของพรรคประชาชนในวันแถลงนโยบายไว้อย่างไรบ้าง นายรังสิมันต์ ระบุว่า มีการเตรียมมาโดยตลอด แต่สิ่งที่เรารอดูอยู่ คือจะมีการเปลี่ยนนโยบายจากรัฐบาลเดิมไปมากน้อยแค่ไหน แต่เชื่อว่าหากติดตามในวันที่ 22 ส.ค.ที่ผ่านมา ก็คงพอเห็นทิศทาง พร้อมยอมรับว่า เวลาค่อนข้างกระชั้น เนื่องจากคาดว่าจะเกิดขึ้นในสัปดาห์ที่สามของเดือนนี้ แต่เมื่อเลื่อนขึ้นมาเร็วขึ้น ฝ่ายค้านก็ต้องทำหน้าที่ในการตั้งคำถาม และอภิปรายต่อนโยบายที่รัฐบาลแถลงอย่างเข้มข้นแน่นอน