บึงกาฬ  ตร.ตั้งข้อหาปู่ฆ่าหลานสาวเจตนาฆ่า 2 ครูสาวเล่าเคยสอน ด.ญ.เคราะห์ร้าย

คืบหน้ากรณี แจ้งข้อหานายอินทร์ (สงวนนามสกุล)อายุ 48 ปีอาชีพรับจ้างขับรถบรรทุกดิน และขับรถแบ็คโฮ  “ฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา” ฆ่าหลานสาวตัวเองแท้ๆ เนื่องจากอาการหลอนเพราะฤทธิ์การเสพยาบ้า ประกอบกับการกระทำประชดภรรยาที่หนีออกจากบ้านไปทำงานที่ กทม.2 ปีแล้ว ตำรวจสอบสวนถึงเหตุแรงจูงใจกระทำการฆ่าหลานสาวในครั้งนี้ ก็ตอบวงไปวนมาจนถึงตี 3 ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า จึงยุติการสอบสวนเอาไว้ เช้าวันนี้จึงเริ่มสอบใหม่อีกครั้ง ก็ยังตอบอยู่แนวเดิม คือมีคนสั่งทางโทรศัพท์ให้พาหลานมายังจุดบุ่งหนองไชวานหรือหนองปลาเซือม ซึ่งเป็นจุดที่ตัวเองเคยมารับจ้างใช้รถแบ็คโฮขุดลอกดิน คือจุดนี้ถ้าไม่เคยมาจะไม่รู้พื้นที่ตรงนี้ว่า มันเข้ามายากลำบาก ลับตาคนด้วย ผู้สื่อข่าวจึงได้ไปสัมภาษณ์ครูที่เคยสอน ด.ญ.ชนิสรา (สงวนนามสกุล) 2 คน

คนแรกคุณครูหนึ่งฤทัย (สงวนนามสกุล) เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตั้งแต่”น้องออเจ้า” หรือด.ญ.ชนิสรา (สงวนนามสกุล)เข้ามาเรียนอยู่ในชั้นอนุบาล 2ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ตอนนั้นยังเด็กอยู่เข้ามาเรียนชั้นอนุบาล 2  ส่วนอนุบาล 1 ญาติพาไปเรียนอยู่ ร.ร.อนุบาลเอกชน ตั้งอยู่ อ.พรเจริญ ก็เป็นเด็กดี ไม่ดื้อไม่ซนหรือเกเร แต่ดูแววตาเหมือนเด็กที่มีปัญหา ไม่สดชื่น พ่อก็ถูกจับติดคุกเมื่ออายุแค่ 1 ปีแม่ก็หนีไปแต่งงานใหม่ จึงอยู่กับปู่และย่า โดยมีย่าคือนางรำพึง มารับ-ส่งทุกวันก็ไม่คิดว่าปู่จะทำร้ายหลานจนถึงขนาดต้องเสียชีวิตก็รู้สึกเสียใจมาก 

ส่วนคุณคนที่สอง คือครูละมุล (สงวนนามสกุล)ครูโรงเรียนที่สอนอยู่ชั้นป 1 ที่น้อง”ออเจ้า”ผู้เสียชีวิตเรียนอยู่ด้วยก็มีแต่ปู่คนนี้ที่มารับมาส่งเป็นประจำทุกวันถ้าวันไหนมารับช้าครูก็ต้องนั่งรอแต่รอไม่นานก็มารับ โดยเด็กก็เป็นคนไม่ค่อยพูดจาก็มีอาการซึมบ้างไม่ค่อยสนุกสนานรื่นเริงกับเพื่อนๆเท่าไหร่ แต่ก็เห็นติดกันกับปู่ดีไปไหนมาไหนก็ไปด้วยกันนั่งซ้อนท้ายไปตลอดทั้งกลางคืนทั้งไปทำงานที่อื่นเพราะปู่มีอาชีพรับจ้างทั่วไปขับรถบรรทุกขนดินบ้างขับรถแบ็คโฮบ้าง แต่น้องจะขาดโรงเรียนบ่อยเนื่องจากป่วยปู่ต้องมาลาโรงเรียนให้อยู่เรื่อย อาทิตย์ที่แล้วเหมือนกันมาเรียนวันพฤหัสบดีวันเดียว ในฐานะคุณครูที่พบเห็นปัญหาอย่างนี้อยู่จะเป็นประจำก็อยากจะฝากผู้ปกครองช่วยดูแลบุตรหลานให้ดีๆ เวลาเลิกเรียนหรือว่าไม่ได้มาโรงเรียนก็ขอให้ดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะพวกที่ติดยาเสพติดหรือคลั่งยาหรือหลอนยาพวกนี้บางทีก็ไม่รู้ตัวไม่รู้มันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ในหมู่บ้านและก็อยากขอฝากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องช่วยกันปราบปรามให้ยาเสพติดโดยเฉพาะยาบ้านี้หมดไปจากประเทศไทย ทุกคนก็จะอยู่ได้อย่างสบายใจไม่หวาดระแวงกลัวเหมือนทุกวันนี้ที่เห็นเกิดเหตุตามข่าวหรือตามสื่อต่างๆ ทุกวัน

เช้าวันนี้ ร.ต.อ.อดิศักดิ์ เหนือโพธิ์ทอง พนักงานสอบสวน เจ้าของคดีได้คุมตัว นายอินทร์ (สงวนนามสกุล) อายุ 48 ปี ผู้ต้องหา ออกจากห้องขังเพื่อสอบสวนต่อจากเมื่อคืน โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ เช่น พ.ต.อ.พงษ์พัชร์  แจ้งหมื่นไวย์ รอง ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ  พ.ต.อ.ประพันธ์  หล้าวงศ์ ผกก.(สอบสวน) คอยให้คำแนะนำตลอดเวลา พร้อมทั้งสอบพยานปากสำคัญประมาณ 10 คน แต่จากการสอบสวนนายอินทร์ช่วงเช้ามาถึงบ่ายยอมรับเบื้องต้นว่าได้ฆ่าหลานสาวจริงแต่ลักษณะแบ่งรับแบ่งสู้ อ้างว่า ถูกคนร้ายจับตัวหลานสาวไป ตนได้แย่งชิงมาได้ จากนั้นจึงอุ้มหลานกระโดดลงน้ำจะว่ายหนีคนร้ายไปอีกฝั่งหนึ่งตรงข้าม โดยอุ้มหลานไว้ในวงแขน เพราะน้ำลึกทั้งเย็น จึงสลับแขนซ้ายเหนื่อยล้า ก็เปลี่ยนมาแขนขวา บางจังหวะก็มุดดำน้ำทำให้หลานหลุดมือไป ประกอบกับตัวเองก็ใจจะขาดด้วย โดยเล่าเหตุการณ์มาเป็นฉากๆ เชื่อว่าผู้ต้องหาเล่าเหมือนเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ทำจริง แต่เป็นเรื่องของประสานหลอน จึงได้แจ้งข้อหาเบื้องต้นว่า “เจตนาฆ่า “

 

ด้าน พ.ต.อ.พงษ์พัชร์  แจ้งหมื่นไวย์ รอง ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ หัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนภูธรจังหวัดบึงกาฬ กล่าวว่าเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญอยู่ในความสนใจของประขาชนและสื่อมวลชน ทางผู้ว่าราชการและทางตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ ให้ผมมาควบคุมการดำเนินงานในการสอบสวนแสวงหาข้อเท็จจริง

 

ซึ่งรายละเอียดที่ออกไปตามสื่อต่างๆ เรื่องนายอินทร์ ได้ฆ่าเด็กหญิงซึ่งเป็นหลานสาว จากการรวบรวมพยานหลักฐานเบื้องต้นทางผู้ต้องหา ได้รับสารภาพว่าตัวเองเสพยาเสพติดมีอาการข้างเคียงมีจิตประสาทว่าจะมีคนมาทำร้าย ด้วยความรักหลาน จึงพาไปหลบอยู่ภายในน้ำตั้งใจจะพาหลานว่ายน้ำไปอีกฝากหนึ่ง เนื่องจากมีบริเวณน้ำลึกกระแสน้ำเย็นทำให้เกิดอาการเป็นตะคริวเลยหลุดมือก็เลยทำให้หลานจมน้ำเสียชีวิตหลังจากเกิดเหตุผู้ต้องหาก็เลยเดินทางไปยังบ้านพัก ในเขตพื้นที่อำเภอศรีวิไล ห่างจากที่เกิดเหตุไม่มาก แล้วก็แจ้งรายละเอียดบางอย่างเบื้องต้นให้กับญาติทราบ เราเลยให้ญาติมาให้ปากคำจำนวน 9-10คน ทุกคนให้การเป็นประโยชน์ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการแจ้งข้อกล่าวหาแก่นายอินทร์ ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และผู้ต้องหาได้ให้ความร่วมมืออย่างดี ได้บันทึกภาพเคลื่อนไหวและเสียงตาม พรบ.ป้องกันความทรมานตามกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มีการเน้นย้ำความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่าย และจะดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อให้เกิดความโปร่งใสสามารถเป็นที่เชื่อมั่นและศรัทธากับพี่น้องประชาชนได้.