นายกฯ ยืนยันเงิน 1 หมื่น ดิจิทัลวอลเล็ตเฟสแรก จ่ายเป็นเงินสด ส่วนเฟสที่สองปรับรูปแบบตามเฟสแรก และแบ่งจ่ายตามงบประมาณ ระบุให้รอความชัดเจนก่อน  ภูมิธรรมมั่นใจโหวตงบฯ ปี 68 ไร้ปัญหาทันใช้ในต.ค. แย้มให้จับตาดูเสียงแท้จริง

     ที่ตึกชินวัตร 3 เมื่อวันที่ 3ก.ย.67 เวลา 09.30 น. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ามาตามปกติ โดยมีประชาชนที่ให้การสนับสนุนมารอขอถ่ายรูปด้วย โดย น.ส.แพทองธาร ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวถึงนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตที่ประชาชนคาดหวัง ยังเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลหรือไม่ ว่า แน่นอน ตนก็คาดหวังเช่นกัน เมื่อถามย้ำว่า  นโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา เรื่องนี้ยังเป็นนโยบายหลักอยู่หรือไม่ น.ส.แพทองธาร  กล่าวว่า ในคอนเซ็ปต์ยังมีอยู่แน่นอน แต่จะมีการปรับรูปแบบตอนแรกจะเป็นดิจิทัลวอลเล็ต เรามีการวางแผนว่าจะมีการจ่ายเป็นเงินสดด้วย ก็ต้องรอดูว่าอะไรที่ต้องแก้ในรายละเอียด และแน่นอนว่าต้องแก้

     ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานวิปรัฐบาล ออกมาระบุโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในเฟสแรกจะจ่ายเงินสด ส่วนเฟสที่สองจะปรับรูปแบบเหมือนกับเฟสแรกหรือไม่ และอาจจะมีการแบ่งจ่ายตามงบประมาณ ใช่หรือไม่  นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ใช่ แบบนั้นเลย แต่ขอให้รายละเอียดชัดเจนก่อน เพราะกลัวพูดไปแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงในรายละเอียด เดี๋ยวจะโดนหาว่าพูดไม่ตรง เราต้องทำการบ้านกันก่อน

     ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 ในวาระที่ 2 และ 3 ที่ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายงบประมาณที่รัฐบาลเตรียมจะนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โครงการซอฟท์พาวเวอร์ และงบประมาณกระทรวงกลาโหม โดยยืนยันว่ารัฐบาลพร้อมชี้แจงงบประมาณทั้งหมดต่อฝ่ายค้าน และพร้อมเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะมั่นใจว่างบประมาณที่รัฐบาลได้กำหนดมานั้น มีความเหมาะสมแล้วในการแก้ไขปัญหาหลังจากนี้

     นายภูมิธรรม กล่าวถึงเสียงการลงมติของรัฐบาลหลังขับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เพิ่งเข้าร่วมรัฐบาล ว่า การลงมติในวันนี้จะสะท้อนความเป็นจริง และรัฐบาลมีเสียงเข้มแข็ง และจะไม่มีปัญหาใด ๆ ยังยืนยันได้ว่า การพิจารณาร่างงบประมาณฯ ในวาระที่ 2 และ 3 ของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะเสร็จสิ้นในวันที่ 5 ก.ย.นี้ และจะมีผลใช้บังคับทันกรอบเวลาที่กำหนดในเดือนต.ค.นี้
    
 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาคนที่สอง ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วาระที่ 2 ในมาตรา 4 ซึ่งเป็นงบประมาณรวม โดย นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ อภิปรายขอตัดลดงบประมาณ 5 % ระบุว่า นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะรองประธานกรรมาธิการฯ อยู่ในห้องก็ดีแล้ว ตนไม่เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก และขอเตือนด้วยความหวังดีว่าถ้าทำถูกก็ต้องชม ทำผิดก็ต้องเตือน วันนี้กรรมาธิการท่านส่งสัญญาณผิด ความเชื่อมั่นในเสถียรภาพการคลัง ความเชื่อมั่นในประเทศไทยเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพราะท่านส่งสัญญาณผิด

     เป็นเรื่องน่าตกใจ คือกระทรวงการคลังบอกว่าจะไม่มีการแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทยในเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และ พ.ร.บ.เงินตรา เหตุการณ์นี้ตกใจกันทั้งเอเชีย และขาดความเชื่อมั่น ที่ส่งสัญญาณผิดอย่างแรกคือท่านกู้มาแจก เพราะการแจกเงินไม่ได้ทำให้หายจนและงบประมาณนี้ที่ทำคือการแจกเงินไม่ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศแม้แต่นิดเดียว รวมถึงขีดความสามารถในการพัฒนาทุนมนุษย์ ซึ่งทุกประเทศทำหมด แต่เราทำน้อยมาก
    
 "นอกจากกู้มาแจกแล้ว ท่านยังไม่ชำระหนี้อีก ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณผิดอย่างแน่นอน แม้จะเป็นเรื่องภายในอย่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ท่านจะไม่คืนเงินต้นและดอกเบี้ยให้เขา ซึ่งทำให้คนต่างประเทศและนักวิเคราะห์ตกใจในพฤติกรรมกับความคิดของรัฐบาลว่าเป็นแบบนี้หรือ ที่ทำให้ความเชื่อมั่นนั้นหายไป อีกเรื่องหนึ่งคือท่านตัดงบประมาณที่ดูน้อย แต่เหมือนปีศาจซ่อนในรายละเอียด เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ ได้เพียงแค่ 10 ล้านบาท เป็นการส่งสัญญาณผิดว่ารัฐบาลนี้จะไม่สนใจในสังคมสูงวัยใช่หรือไม่ ถึงไม่มีการส่งเสริมการออมแห่งชาติที่รัฐบาลทำมาตั้งหลายสมัย
    
 ที่ส่งสัญญาณผิดอีกอย่างคือท่านติดกับดักการคลัง ซึ่งผมกังวลและอยากเตือนรัฐบาลด้วยความหวังดี ว่าสมมติฐานของท่านก็ผิด ตอนที่ท่านตั้งงบประมาณนี้นั้น อิสราเอลยังไม่รบกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด วันนั้นยังไม่มีสงครามการค้า ยังไม่มีสงครามทางเทคโนโลยี แต่ 1 ปีที่ผ่านมานี้ โลกเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมาก แต่งบประมาณและการตัดสินใจของเรานั้น ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนกังวล" นายจุติ กล่าว
   
  นายจุติ กล่าวอีกว่า ท่านตั้งสมมุติฐานผิด ตั้งโจทย์ผิด ผลลัพธ์ก็จะผิด จึงเรียกว่างบฯ ปี 68 ทำไปด้วยระบบราชการเป็นตัวกำหนดอนาคตประเทศ เพราะระบบราชการจะขาดความคล่องตัวให้เข้ากับสถานการณ์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่เราอยากแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น เพราะเรามีปัญหาเหล่านี้และกำลังอยู่ระหว่างช่วงเปลี่ยนถ่ายรัฐบาล ตนไม่อยากให้เราอ่อนแอ อยากให้รัฐบาลนี้ไปรอด ถ้ารัฐบาลนี้ไปรอด ก็ต้องทำให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ และผมเห็นว่าการจัดทำงบประมาณ ตัดในสิ่งที่ไม่ควรตัด เพิ่มในโครงการที่ไม่ควรเพิ่ม คนจนวันนี้จนทุกอย่าง แม้กระทั่งโอกาส ตนทราบว่ามีงบประมาณให้พอสมควร แต่เปรียบเทียบไม่ได้ คนไทย 1 ล้านคน ไม่มีโอกาสทางการศึกษาเพราะขาดแคนทุนทรัพย์ จึงอยากถามรองประธานกรรมาธิการฯ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร เพราะ 7 พันล้าน เปรียบเทียบไม่ได้กับพบ 5 แสนล้าน ที่จะกู้มาแจก
   
  นายจุติ กล่าวว่า กรรมาธิการได้ตัดงบ 120 ล้านบาทสำหรับเชฟ 1 หมู่บ้าน ซึ่งเป็นงบของซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย ที่ผ่านมาตนก็เคยทำโครงการแม่เลี้ยงเดี่ยว จากที่จนและไม่มีอนาคต แต่เชฟหลายคนช่วยให้เขามีอนาคต วันนี้คนที่ไม่ไปต่างประเทศมีเงินเดือน 40,000 บาท ดังนั้น อย่าไปตัดงบนี้เลย ควรให้โอกาสคนจน คนที่ต้องพึ่งพา เขาลืมตาอ้าปากได้ เงิน 120 ล้านบาทนั้น เปรียบเทียบกับเงิน 3.7 ล้านล้านบาท เทียบกันไม่ได้ แต่มันคืออนาคตของคน