วันที่ 3 ก.ย.67 เวลา 12.30 น.ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า ที่ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถนนพหลโยธิน จตุจักร กทม.นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ร้องทุกข์กล่าวโทษและ นำหลักฐานพร้อมของกลางการจับบุหรี่ไฟฟ้า 2 ตู้คอนเทนเนอร์ที่ด่านท่าเรือกรุงเทพ นายซู ซู่ฟิง ชาวจีน เจ้าพ่อเบอร์ 1 ของเมืองไทย ที่ใหญ่ที่สุด ที่ถูกศุลกากรจับกุมและยึดของกลางมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และนักการเมืองหนุนหลัง ช่วยเหลือมาตลอด จึงมาดำเนินคดีตามพ.ร.บ.ศุลกากร ร่วมกันฟอกเงิน มาตรา 242 ข้อ 9 และความผิดกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
โดย นายอัจฉริยะ กล่าวว่า วันนี้ ตนมาร้องทุกข์กล่าวโทษ คดีอาญา ในข้อหา ตามความผิด พ.ร.บ.ศุลกากร และ สมคบตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมกันฟอกเงิน ที่เป็นเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งมีนายซู ลักลอบนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า เข้ามาจำนวนทั้งหมดหลายตู้ ซึ่งในขณะนี้ทางกรมอธิบดีศุลกากร กับนายด่านท่าเรือกรุงเทพ ทำการอายัดเปิดตู้คอนเทนเนอร์ เจอของกลางจำนวน 2 ตู้
ซึ่งปรากฏหลักฐาน ต่างๆ จึงทำให้ นายซู จำนนต่อหลักฐานและยอมรับว่าเป็นเจ้าของบุหรี่ไฟฟ้า และเป็นคนนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในราชอาณาจักรไทย และ นายซู เป็นเจ้าพ่อเบอร์หนึ่งของบุหรี่ไฟฟ้า ในการนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาปีละ 600 ล้านบาท เข้ามาในราชอาณาจักรไทย ผ่านท่าเรือต่างๆ และร่วมมือกับคนไทยที่มีนายเจษ และร่วมกับพวก เครือข่ายต่างๆ ที่มีอยู่ในประเทศไทย ในการลักลอบนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามา เป็นจำนวนมาก ซึ่ง นายซู มีการติดสินบนโดยการจ่ายส่วย ให้กับเจ้าหน้าที่รัฐ คือ นายพล ก. ที่เป็นหน้าเสื่อ ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และกองบัญชาการตำรวจไซเบอร์ และมีการจ่ายเงินให้กับทุกหน่วยของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และ มีการจ่ายเงินให้กับตำรวจระดับชั้นผู้ใหญ่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ข้าราชการในหน่วยงานต่างๆอีกมากมาย
โดย นายซู ได้ทำธุรกิจสีเทา ผิดกฎหมาย นานกว่า 5 ปี และกระทำความผิดแบบนี้มานาน เนื่องจากมีตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และมีนักการเมืองหนุนหลังให้ความช่วยเหลือ ซึ่งนาย นายซู โดนจับกุมมาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ไม่สามารถเอาตัวจริงมาได้เนื่องจากว่านายซู ใช้นอมินี เป็นคนงาน ให้สวมรอยแอบอ้างว่าเป็นเจ้าของโรงงาน ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สามารถขยายผล จับกุมตัวนายซู ที่เป็นตัวจริง
ดังนั้นทางตนจึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ในเรื่องของการลักลอบนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ และเป็นภัยต่อเยาวชน และเป็นนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าต่อไป