ยินดีด้วยกับเศรษฐีใหม่ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา จนส่งผลให้ประชากรบนโลกเรา มีเศรษฐีเพิ่มมากขึ้นตามการสำรวจใน “รายงานทรัพย์สินโลกยูบีเอส 2024” ที่มีการเผยแพร่เมื่อไม่นานมานี้

โดยรายงานดังกล่าว จัดทำโดย “ยูบีเอส” ธนาคารเพื่อการลงทุนและผู้ให้บริการทางการเงินข้ามชาติ ซึ่งมีที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ในนครซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

ในรายงานระบุว่า เกือบครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินต่างๆ ทั่วโลกจำนวน 213 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 47.5 ถูกถือครองโดยประชากรโลกที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่จำนวนเพียงร้อยละ 1.5 นั่นหมายความว่า ประชากรโลกวัยผู้ใหญ่กลุ่มนี้ที่มีจำนวนเพียงร้อยละ 1.5 ของประชากรทั้งหมดทั่วโลก คือ เศรษฐีของโลก นั่นเอง

รายงานของยูบีเอส ยังเผยด้วยว่า อัตราเฉลี่ยของร้อยละข้างต้น ก็คือ จำนวนประชากรวัยผู้ใหญ่จำนวน 58 ล้านคนทั่วโลก ที่ถือครองทรัพย์สินระดับหลักล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ “เศรษฐีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (Millionnaire)” ในแต่ละราย ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ทั้งนี้ บรรดาเศรษฐีเงินล้านเหล่านี้ ถือครองทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปีก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดเป็นตัวเลข คือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 สำหรับในปี 2023 (พ.ศ. 2566) ภายหลังจากในปี 2022 (พ.ศ. 2565) มีตัวเลขลดลงถึงร้อยละ 3 ตามการสันนิษฐานคาดการณ์ของบรรดานักวิเคราะห์ ก็ระบุว่า น่าจะเป็นผลจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัส 2019 หรือโควิด 19 ที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจประเทศตางๆ ทั่วโลกย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2020 (พ.ศ. 2563) และปี 2021 (พ.ศ. 2564) นั่นเองที่ถือเป็นปัจจัยหลัก ไม่นับการเกิดสงครามรัสเซีย – ยูเครน ซึ่งเริ่มในปี 2022 (พ.ศ. 2565) อันส่งผลต่อภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลกอีกต่างหากด้วย

ในรายงานของยูบีเอส ยังระบุด้วยว่า ในช่วงปี 2023 (พ.ศ. 2566) ถือเป็นช่วงเวลาที่โลกมีเศรษฐีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มจำนวนมากที่สุดช่วงหนึ่งด้วย คือ มีอัตราการขยายตัวของจำนวนเศรษฐีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หน้าใหม่มากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาอื่นๆ โดยอัตราการขยายตัวของจำนวนเศรษฐีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หน้าใหม่ดังกล่าว เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าทีเดียวจากช่วงเวลาก่อนหน้าปี 2000 (พ.ศ. 2543) คือ ก้าวกระโดดจากร้อยละ 0.5 เพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยละ 1.5

จากการสำรวจของยูบีเอส ยังพบด้วยว่า “สหรัฐอเมริกา” ในช่วงรอบปีที่ผ่านมา มีเศรษฐีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากที่สุด คือ 21.95 ล้านคน รองลงมาได้แก่ “จีน” มีจำนวน 6.01 ล้านคน ตามมาด้วย “สหราชอาณาจักร” จำนวน 3.06 ล้านคน และ “ฝรั่งเศส” จำนวน 2.87 ล้านคน ส่วน “ญี่ปุ่น” จำนวน 2.83 ล้านคน ซึ่งทั้ง 5 ประเทศนี้ ถือว่าเป็นกลุ่ม “ท็อปไฟว์ (Top Five)”

ความร้อนแรงด้านเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ส่งผลให้เศรษฐกิจจีนเติบโตแบบก้าวกระโดดอีกประเทศหนึ่ง (Photo : AFP)

อย่าไรก็ตาม เมื่อว่ากันในแบบมีจำนวนเศรษฐีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หน้าใหม่เพิ่มขึ้นแบบในอัตราก้าวกระโดดนับตั้งแต่ปี 2000 (พ.ศ. 2543) เป็นต้นมาถึง ณ ปัจจุบันแล้ว ทางยูบีเอส ซึ่งเป็นผู้สำรวจ ก็ยกให้ “กาตาร์” เป็นประเทศที่มีเศรษฐีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หน้าใหม่จำนวนเพิ่มขึ้นแบบอัตราก้าวกระโดดมากที่สุด คือ จาก 46 คน ในปี 2000 (พ.ศ. 2543) เพิ่มขึ้นมาเป็น 26,163 คน ในปีล่าสุด รองลงมาได้แก่ “จีน” ที่เพิ่มจาก 39,000 คน เพิ่มขึ้นมาเป็น 6,013,282 คน ตามมาด้วย “คาซัคสถาน” จากจำนวน 918 คน เพิ่มขึ้นมาเป็น 44,307 คน

รายงานของยูบีเอส ยังกล่าวถึงจีนด้วยว่า จากผลพวงของการที่มีคนรวยเพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดดขั้นต้น ยกให้เป็น “ประเทศที่มีเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นในอัตราสูงที่สุดในโลก” คือ มากถึงร้อยละ 90 ด้วยกันสำหรับในช่วงรอบปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีจำนวน “เศรษฐี (Millionnaire)” และ “มหาเศรษฐี (Billionnaire)” น้อยกว่าสหรัฐฯ ที่ทางยูบีเอส ยกให้เป็นประเทศที่มีเศรษฐีและมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลก

ว่ากันในส่วนของ “สหรัฐฯ” เจ้าของแชมป์ประเทศมีเศรษฐีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากที่สุดในโลกนั้น ในการสำรวจโดย “เฮนลีย์แอนด์พาร์ทเนอร์ส” ร่วมกับ “นิวเวิลด์เวลธ์” ก็มีรายงานผลสำรวจแบบแยกย่อยในแต่ละรัฐ แต่เมือง รวมถึงระบุจำนวนบุคคลที่มีทรัพย์สินระดับ “มหาเศรษฐี” คือ “มีสินทรัพย์มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” อีกต่างหากด้วย นอกเหนือจาก “เศรษฐี” คือ “บุคคลถือครองทรัพย์สินกว่า 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ไม่ถึง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” แล้ว

โดยผลการสำรวจระบุว่า “มหานครนิวยอร์ก” ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐนิวยอร์ก เป็น “เมืองที่มีเศรษฐีและมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลก” จนยกให้เป็นเมืองที่ครองแชมป์ในเรื่องนี้ จากการที่มี “เศรษฐีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” จำนวนมากถึง 359,500 คน ส่วน “มหาเศรษฐีระดับพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” มีจำนวน 60 คน

ในการสำรวจ ยังพบด้วยว่า เศรษฐีเงินล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในมหานครนิวยอร์ก มีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงในอัตราร้อยละ 48 ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา คือ ระหว่างปี 2013 – 2023 (พ.ศ. 2556 – 2566) ส่งผลให้มหานครนิวยอร์ก มีจำนวนมากเสียยิ่งกว่า จำนวนประชากรในเมืองเล็กๆ ของสหรัฐฯ อย่างเมืองออร์แลนโด ซึ่งตั้งอยู่ในย่านออเรนจ์เคาน์ตี รัฐฟลอริดา หรือเมืองพิตต์สเบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ด้วยซ้ำ

เมื่อมีเศรษฐี และมหาเศรษฐี มากมายเช่นนี้ ก็ส่งผลให้เฉพาะมหานครนิวยอร์ก มีความมั่งคั่งทางทรัพย์สินรวมกันแล้วมากกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเงินที่มากกว่ามูลค่าของ “ผลิตมวลรวมภายในประเทศ” หรือ “จีดีพี” ของ “ประเทศบราซิล” ชาติพี่ใหญ่ในภูมิภาคละตินอเมริกา หรืออเมริกาใต้ หรือแม้แต่กระทั่ง “แคนาดา” ประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงใกล้ชิดติดกันกับสหรัฐฯ เสียอีก ไม่เว้นกระทั่ง “อิตาลี” ประเทศสมาชิกในกลุ่มอุตสาหกรรมชั้นนำ หรือจี 7 ด้วยกัน และมีขุมพลังทางเศรษฐกิจจาก “ซอฟต์เพาเวอร์” ระดับแถวหน้าแห่งหนึ่งของโลกด้วยซ้ำ เช่น การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่โด่งดังในอิตาลี เป็นต้น

นอกจากมหานครนิวยอร์กแล้ว สหรัฐฯ ก็ยังย่านคนรวยอย่างในนครซานฟรานซิสโก และพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ด้วยเป็นพื้นที่อยู่ของเศรษฐีเงินจำนวนมากกว่า 305,700 คน แต่เมื่อกล่าวถึงมหาเศรษฐีแล้ว นครซานฟรานซิสโก และพื้นที่อ่าวซานฟรานซิสโก ก็มีจำนวนมากกว่าในมหานครนิวยอร์กด้วยซ้ำ คือ 68 คนด้วยกัน

ย่านซิลิคอนวัลเลย์ ซึ่งถูกยกให้เป็นศูนย์กลางกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที ชั้นนำของโลก ที่ตั้งอยู่ในประเทศสหรัฐฯ ถือเป็นแหล่งทำเงินที่สำคัญของประเทศ (Photo : AFP)

โดยเหตุปัจจัยที่ทำให้เศรษฐี และมหาเศรษฐีของสหรัฐฯ มั่งคั่งกันก็คือการทำธุรกิจด้านเทคโนโลยี การเงิน ตลอดจนการบันเทิง ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำเงินให้แก่พวกเขาอย่างมหาศาล