ดัชนี SMESI ก.ค.67 หดตัวต่ำกว่าฐานเป็นครั้งแรกในรอบ 23 เดือน จากผลของกำลังซื้อชะลอตัว หนี้สินภาคครัวเรือนสูงขึ้นการเข้ามาตีตลาดของสินค้าจากต่างประเทศ ยิ่งสะท้อนถึงความกังวลต่อการประกอบธุรกิจของ SME

เมื่อวันที่ 30 ส.ค.67 นางสาวปณิตา ชินวัตร รองผู้อำนวยการรักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME หรือ ดัชนี SMESI ประจำเดือนกรกฎาคม 2567 อยู่ที่ระดับ 49.9 ลดลงจากระดับ 52.0 ของเดือนก่อนหน้า ซึ่งปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 และอยู่ต่ำกว่าระดับความเชื่อมั่น (ค่าฐานที่ 50) เป็นครั้งแรกในรอบ 23 เดือน เป็นผลจากการชะลอตัวของกำลังซื้อในเกือบทุกภาคธุรกิจ และความเสี่ยงจากหลายปัจจัย เช่น หนี้สินในภาคครัวเรือนสูง ความตึงตัวของสินเชื่อธุรกิจ การเข้ามาแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศ เป็นต้น ในขณะที่ภาคก่อสร้างและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ยังเป็นกลุ่มธุรกิจที่ปรับดีขึ้น จากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐฯ และภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะพื้นที่ท่องเที่ยวที่ยังได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ สำหรับดัชนีองค์ประกอบปัจจุบันในเดือนกรกฎาคม 2567 พบว่า องค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อ ปริมาณการผลิต/การค้า/การบริการ การลงทุนโดยรวม การจ้างงาน และกำไร อยู่ที่ระดับ 53.6}52.0}50.0}50.2 และ 52.5 ลดลงจากระดับ 60.2}56.3}51.9}50.9 และ 54.6 ของเดือนก่อนหน้า ยกเว้นองค์ประกอบด้านต้นทุนรวม (ต่อหน่วย) ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 41.0 จากระดับ 38.2 ของเดือนก่อนหน้า

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของผู้ประกอบการ SME รายภาคธุรกิจ พบว่า ภาคการผลิต หดตัวลดลงสูงที่สุด อยู่ที่ระดับ 49.7 ลดลงจากระดับ 52.7 ของเดือนก่อนหน้า ซึ่งชะลอตัวลงอย่างชัดจนและอยู่ต่ำกว่าระดับเชื่อมั่น ผลจากการชะลอตัวลงของคำสั่งซื้อในกลุ่มธุรกิจกลุ่มการผลิตยางและพลาสติกรวมถึงยอดคำสั่งซื้อที่ลดลงจากภาคการส่งออกของกลุ่มลูกค้ารายใหญ่เป็นสำคัญ ภาคการบริการ อยู่ที่ระดับ 49.3 ลดลงจากระดับ 51.7 ของเดือนก่อนหน้า โดยระดับความเชื่อมั่นอยูู่ต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับภาคธุรกิจอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของภาคธุรกิจนี้ต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ยกเว้นธุรกิจบริการก่อสร้างที่ได้รับอานิสงส์จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี พ.ศ 2567 ของภาครัฐ ภาคการค้า อยู่ที่ระดับ 50.3 ลดลงจากระดับ 51.6 ของเดือนก่อนหน้า โดยในภาพรวมชะลอตัวลง จากกลุ่มการขายสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก ทั้งภาคการค้าปลีกและการค้าส่ง รวมถึงกลุ่มการค้าและบริการยานยนต์ ในขณะที่ภาคการค้าสินค้าวัสดุก่อสร้างปรับตัวดีขึ้นตามภาคการก่อสร้างของภาครัฐ สำหรับภาคธุรกิจการเกษตร อยู่ที่ระดับ 53.9 มีแนวโน้มทรงตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับความเชื่อมั่นอยู่ที่ 54.0 สาเหตุจากสินค้าหลายประเภทยังมีราคาสูง แต่บางชนิดเริ่มมีราคาลดลง เช่น ยางพารา นอกจากนี้สินค้าในกลุ่มประมงยังได้รับผลกระทบภายนอกจากการระบาดของปลาหมอคางดำ ส่งผลให้ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามกำหนด

ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของผู้ประกอบการ SME รายภูมิภาคพบว่า ภาคใต้ ค่าดัชนีอยู่ที่ 51.4 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.3 ผลจากภาคเศรษฐกิจชะลอตัวลง จากภาคการผลิตเป็นสำคัญ ถึงแม้จะมีแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวในประเทศช่วงวันหยุดที่ผ่านมา รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในขณะที่ภาคธุรกิจการเกษตรปรับตัวดีขึ้นจากปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้น เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ค่าดัชนีอยู่ที่ 49.5 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.4 ภาพรวมธุรกิจชะลอตัวลง จากภาคการผลิต การค้า และการบริการ ในขณะที่กิจกรรมการท่องเที่ยวและการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น กลุ่มร้านอาหาร และบริการขนส่งไม่ประจำทางยังปรับตัวดีขึ้นแม้ไม่สูงมากนัก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 48.8 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.0 ภาคธุรกิจชะลอตัวลงทั้งหมด โดยกำลังซื้อในพื้นที่ลดลง คนระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยโดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น กลุ่มอัญมณี เครื่องประดับ และกลุ่มผลิตสินค้าเฟอร์นิเจอร์

ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่น้อย ภาคตะวันออก ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 49.9 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.2 ภาคการผลิตชะลอตัวลงชัดเจน โดยเฉพาะกับภาคการผลิตผลิตภัณฑ์จากยางและพลาสติก ที่ยอดคำสั่งซื้อเร่งตัวสูงขึ้นในช่วงก่อนหน้า ในขณะที่ภาคธุรกิจการเกษตร โดยเฉพาะกลุ่มแพปลาปรับตัวดีขึ้น จากการที่คู่แข่งในพื้นที่อื่นได้รับผลกระทบจากการระบาดของปลาหมอคางดำ ภาคกลาง ค่าดัชนีอยู่ที่ 47.9 ปรับตัวลดลงชัดเจนจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.4 และอยู่ต่ำกว่าระดับเชื่อมั่น สะท้อนความกังวลต่อภาคเศรษฐกิจ โดยเฉพาะความกังวลในด้านผลประกอบการของภาคธุรกิจ จากผู้ประกอบการภาคการผลิต และภาคการบริการเป็นสำคัญ ในขณะที่ภาคการก่อสร้างปรับดีขึ้นตามการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐ ภาคเหนือ ค่าดัชนีอยู่ที่ 51.8 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 54.4 ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอลงจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่พุ่งสูงไปในเดือนก่อนหน้า ยกเว้นในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ยังได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวชาวจีน ในขณะที่พื้นที่อื่น กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอลงทั้งหมดยกเว้นภาคธุรกิจการเกษตรในกลุ่มสินค้าเกษตรโดยเฉพาะผลไม้ ที่ยังสามารถส่งขายได้อย่างต่อเนื่อง

โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 54.7 ปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 53.6 ของค่าคาดการณ์ในเดือนก่อนหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการคาดว่ามาตรการกระตุ้นการบริโภคด้วยนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่เดิมจะออกมาในช่วงเวลาดังกล่าวจะสร้างผลดีให้กับกลุ่มธุรกิจภาคการค้า รวมถึงการผลิตในสาขาผลิตอาหาร และเสื้อผ้าได้ ในขณะที่ภาคการบริการคาดว่าเศรษฐกิจจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงเริ่มต้นฤดูของการท่องเที่ยวปลายปี

ทั้งนี้ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว สร้างความกังวลต่อการดำเนินธุรกิจให้กับ SME เป็นอย่างมาก ดังนั้น สิ่งที่ SME ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างเร่งด่วนคือการลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะต้นทุนราคาสินค้า/วัตถุดิบ ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง ค่าจ้างแรงงาน เป็นต้น รวมถึงการกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศทั้งมาตรการกระตุ้นค่าใช้จ่ายและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ที่ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจได้ นอกจากนี้การเข้ามาแข่งขันของธุรกิจหรือสินค้า/วัตถุดิบจากต่างประเทศทั้งในรูปแบบ Offline และ Online ถือเป็นอุปสรรคสำคัญที่จะส่งผลให้ความสามารถในการแข่งขันของ SME ลดลง ดังนั้น ภาครัฐควรมีการควบคุมการเข้ามาดำเนินธุรกิจของชาวต่างชาติ การจำกัดการนำเข้าของประเภทสินค้าและวัตถุดิบอย่างเข้มงวด และส่งเสริมและผลักดันการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ SME ไทย ให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพเทียบเท่ากับสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาใช้สินค้าของไทยมากขึ้น

สำหรับ สสว. มีโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (Business Development Service) ในการบริการให้คำปรึกษาและการตรวจประเมินมาตรฐาน เช่น มาตรฐานด้านอาหาร มาตรฐานด้านบริการการท่องเที่ยว การประเมิน Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ โดย SME สามารถเข้าไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ https://bds.sme.go.th/ หรือค้นหาองค์ความรู้เพิ่มเติม เช่น การบริหารจัดการต้นทุน กิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ได้ที่ https://www.smeone.info หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจร โทร. 1301

#หนี้ครัวเรือน #ทุนจีน #ข่าววันนี้ #สสว #เอสเอ็มอี