คุยเฟื่องเรื่องต่างประเทศ / ดร.วิวัฒน์  เศรษฐช่วย      

ยังคงเหลือเวลาในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯอีกแค่เพียง 65 วันเท่านั้น เพราะฉะนั้นทุกๆชั่วโมงและทุกๆนาทีในการรณรงค์หาเสียง ที่รวมไปถึงเม็ดเงินบริจาค และกองทัพอาสาสมัครหนุ่มสาวไฟแรงมีกว่าสองแสนคนช่างเป็นสิ่งที่แสนจะมีค่ามากมายมหาศาล

และถึงแม้ว่าคะแนนนิยมของ “รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส” ในขณะนี้จะนำหน้าเหนือกว่า “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”อยู่แค่ปลายจมูกเพียง 5% ก็ตาม แต่ดูเหมือนว่า โพลของ Fairleigh Dickinson University ล่าสุดได้ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส กลับมีคะแนนนิยมนำไปแล้วถึง 7% เลยทีเดียว!!!

แต่ทั้งหมดทั้งมวลตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯยึดเอา “คะแนนอิเล็กโทรัล” ชี้ขาดต่อผลของการเลือกตั้ง มิใช่ Popular vote

ทั้งนี้ชัยชนะของรองประธานาธิบดีแฮร์ริส จำเป็นที่จะต้องยึดเอารัฐทางแถบตอนเหนือ 4 รัฐ ซึ่งต่างก็ที่เป็นรัฐที่เต็มไปด้วยอุตสาหกรรมและยังเป็นรัฐที่อยู่ในแถบพื้นที่ที่มีอากาศหนาวเหน็บ ซึ่งทั้งสี่รัฐที่กล่าวมาก็คือ รัฐมินนิโซตา (ที่มีคะแนน10 คะแนน) รัฐมิชิแกน (15 คะแนน) รัฐวิสคอนซิน (10 คะแนน) และรัฐเพนซิลเวเนีย (19 คะแนน) รวมกันแล้วมีคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตทั้งหมด 54 คะแนน

นอกจากนั้นแล้วรองประธานาธิบดีแฮร์ริสจำต้องเอาชนะรัฐต่างๆทางแถบร้อนทางตอนใต้ คือ รัฐเนวาด้า (มีคะแนนอิเล็กโทรัลโหวตอยู่ที่ 6 คะแนน) รัฐแอริโซนา (11 คะแนน) รัฐจอร์เจีย (16 คะแนน)และ รัฐนอร์ทแคโรไลนา (16 คะแนน) ซึ่งรวมกันแล้วจะมีคะแนนอิเล็กโทรัลอยู่ที่  49 คะแนน

และจากข้อมูลของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2024 ว่า อดีตประธานาธิบดีทรัมป์กำลังมีคะแนนนิยมนำอยู่ในรัฐจอร์เจีย 0.6% นั่นก็คือ 46.6% ต่อ 46% ซึ่งจะว่าไปแล้วนับว่าเล็กน้อยมาก และต้องอย่าลืมว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็เคยได้รับชัยชนะที่รัฐนี้มาแล้วเมื่อสี่ปีก่อน

นอกจากนั้นทั้งรองประธานาธิบดีแฮร์ริส และ ผู้ว่าฯทิม วอลซ์ ก็วางแผนที่จะเดินทางไปหาเสียงทางรถบัสที่รัฐจอร์เจียเป็นเวลาสองวันในวันพุธที่ 28 และวันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม 2024 และทั้งสองยังขยายจำนวนของสำนักงานที่ใช้ในการหาเสียงเพิ่มขึ้นจาก 20 แห่งเป็น 25 แห่งเรียบร้อยแล้ว

แต่ในทางกลับกันดูเหมือนว่าที่ผ่านมาประธานาธิบดีทรัมป์ เคยเขียนคำตำหนิกล่าวต่อว่า “ผู้ว่าฯ ไบรแอน เคมพ์” แห่ง รัฐจอร์เจีย ว่า “เป็นบุคคลไม่ดี” ซึ่งได้สร้างความเสียหายและสร้างรอยร้าวต่อสัมพันธภาพอันดีเป็นอย่างมาก

จากการให้สัมภาษณ์ผ่านทางรายการของสถานีโทรทัศน์ช่องซีเอ็นเอ็นของ “วุฒิสมาชิกลินด์เซย์ แกรม” ผู้ที่รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของประธานาธิบดีทรัมป์ เมื่อวันอาทิตย์ที่เพิ่งผ่านมานี้ว่า “หากประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถเอาชนะในรัฐจอร์เจียได้ ก็อาจจะเป็นผลชี้ขาดในการเลือกตั้งก็เป็นไปได้”

โดยวุฒิสมาชิกแกรมกล่าวในทำนองที่ว่า หากประธานาธิบดีทรัมป์แพ้ในรัฐจอร์เจีย ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่าประธานาธิบดีทรัมป์ไม่สามารถเอาชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้

และยังมีสิ่งที่สร้างความแปลกใจขึ้นมาอีกเช่นกันนั่นก็คือ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม 2024 จู่ๆประธานาธิบดีทรัมป์ ออกมาปล่อยข่าวโพสต์ลงในโซเชียลมีเดียของเขาว่า เพราะเหตุใด? และทำไม?เขาจะต้องไปร่วมการดิเบตโต้วาทีในวันที่ 10 กันยายน 2024นี้!!!

ทั้งนี้รองประธานาธิบดีแฮร์ริส ออกมากล่าวว่า มาประลองฝีปากกันเถอะ เพราะเธอจะไม่ปฏิเสธหากประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการจะให้เปิดไมโครโฟนขณะที่มีการดิเบตกันอยู่ เพราะเธอกล่าวว่า ไม่กลัวในการที่จะเผชิญหน้า เพราะต้องการจะจับการพูดปดของประธานาธิบดีทรัมป์ ส่วนการขัดจังหวะของประธานาธิบดีทรัมป์นั้น เธออธิบายว่าสามารถจัดการได้ไม่ยาก เท่ากับว่าเธอสร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวอเมริกันเป็นอย่างมาก ที่เธอแสดงออกถึงความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวแบบไม่เกรงกลัวในการปะทะฝีปากกับประธานาธิบดีทรัมป์

ส่วน “หนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัล”ได้เขียนในเรื่องที่ประธานาธิบดีทรัมป์โยกโย้ไม่ต้องการที่จะดิเบตว่า “เขากำลังจะพ่ายแพ้การเลือกตั้ง” ที่อาจจะตีความได้ว่า เหตุที่เขาไม่ต้องการจะออกไปดีเบตโต้วาที สืบเนื่องมาจากเขามีแผลทั้งในเรื่องส่วนตัวและมีบาดแผลทางการเมืองค่อนข้างเหวอะหวะ ซึ่งอาจจะทำให้เขาเกรงกลัวว่าจะถูกนำขึ้นมาถกเถียงจนกลายเป็นประเด็นใหญ่ และเนื่องจากเขาเป็นนักธุรกิจ เมื่อชั่งน้ำหนักบวกลบคูณหารแล้วการดีเบตอาจจะทำให้เขาเกิดความเสียหายมากขึ้นก็เป็นได้

เป็นที่น่าสนใจเช่นเดียวกันที่แม้ว่าขณะนี้คะแนนนิยมของรองประธานาธิบดีแฮร์ริสจะกำลังนำอยู่ก็ตาม แต่เธอไม่แสดงท่าทีฮึกเหิม กลับวางตนเป็นมวยรอง ก็เพื่อปลุกใจต้องการที่จะให้คนอเมริกันมีความกระตือรือร้นพากันออกไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง และยังไม่ต้องการให้ผู้สนับสนุนของเธอชะล่าใจไม่ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง  เพราะเคยมีบทเรียนราคาแสนแพงที่ได้เกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 2016 มาแล้ว ในช่วงการเลือกตั้งครั้งที่ “ฮิลลารี คลินตัน” กำลังมีคะแนนเหนือกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ถึง 70% ต่อ 30% แต่ฐานเสียงของฮิลลารีกลับชะล่าใจและมีความเชื่อมั่นมากเกินไป จึงทำให้เกิดการพ่ายแพ้อย่างยับเยินจนเกินเยียวยา!!!

อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับด้านเม็ดเงินที่ใช้ในการหาเสียง ที่ขณะนี้ดูเหมือนว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริสมีความได้เปรียบอย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระหว่างการประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครต ระหว่างวันที่ 19 จนถึง 22 สิงหาคม 2024 ปรากฏว่า ได้รับเงินบริจาคมากถึง 84 ล้านดอลลาร์ แถมในช่วงหนึ่งเดือนหลังจากที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริสรับช่วงต่อจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ก็ได้รับเงินบริจาคมาแล้ว 500 ล้านดอลลาร์ ส่วน “ผู้ว่าฯทิม วอลซ์” ก็ได้รับเงินบริจาค 36 ล้านดอลลาร์ ในวันที่มีการแต่งตั้งให้เขาร่วมแข่งขันเลือกตั้งในตำแหน่งรองประธานาธิบดีนั่นเอง

ส่วนกองทัพคนหนุ่มสาวไฟแรงที่แสดงเจตน์จำนงต้องการที่จะอาสาสมัครเข้าไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้แก่รองประธานาธิบดีแฮร์ริส และผู้ว่าฯทิม วอลซ์ ขณะนี้มีถึงสองแสนคนทั่วประเทศ โดยเฉพาะในรัฐวิสคอนซินมีอาสาสมัครถึง 42,000 คน

คราวนี้เราลองหันไปดูการวิเคราะห์คะแนนอิเล็กโทรัลของเว็ปไซต์ 270toWin.com ที่ออกมาระบุว่า ขณะนี้คะแนนอิเล็กโทรัลของรองประธานาธิบดีแฮร์ริสกำลังมีอยู่ที่ 275 คะแนนขาดอยู่ไม่ถึง 100 คะแนน เพื่อจะได้รับคะแนน 370 คะแนน ส่วนอดีตประธานาธิบดีทรัมป์มีอยู่ที่ 170 คะแนน ขาดถึง 200 คะแนน เพื่อที่จะได้รับคะแนน 370 คะแนนเช่นกัน

และจากสำนักหยั่งเสียง “2024 Real Clear Politics Electoral College Map” เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2024 ก็ออกมาเปิดเผยในทำนองที่ว่า ขณะนี้คะแนนอิเล็กโทรัลของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ นำหน้ากว่ารองประธานาธิบดีแฮร์ริสอยู่ที่  219 ต่อ 208 แต่ยังมีคะแนนอีก 111 คะแนนที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องทำการแก่งแย่งกัน แต่สำนักหยั่งเสียง แห่งนี้กล่าวต่อไปว่า เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว รองประธานาธิบดีแฮร์ริส มีโอกาสที่จะดึง 111 คะแนนนี้ได้มากกว่า ที่เธอต้องการอีกแค่เพียง 62 คะแนนเท่านั้น!!!

กล่าวโดยสรุปทั้งนี้และทั้งนั้นเมื่อวิเคราะห์จากกระแสการตื่นตัวที่สมาชิกของค่ายพรรคเดโมแครตกำลังมีต่อ “รองประธานาธิบดีคามาลา แฮร์ริส”และ “ผู้ว่าฯทิม วอลซ์”แถมยังมีองค์ประกอบทั้งด้านเงินบริจาคที่มีหลั่งไหลเข้าไปอย่างมหาศาล ตามติดด้วยอาสาสมัครรุ่นใหม่ไฟแรงมากกว่าสองแสนคนจะเข้าไปช่วยหาเสียงให้ ควบรวมกับสโลแกนอันกินใจที่ว่า “เพื่อประชาชน และจะไม่ถอยกลับไปข้างหลังอีก” เมื่อมองในภาพรวมแล้ว โอกาสที่รองประธานาธิบดีแฮร์ริสจะได้รับชัยชนะดูเหมือนมีเหนือกว่า “อดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์”หลายขุม แต่อย่างไรก็ตามรู้ๆกันอยู่แล้วว่า “การเมืองเป็นเรื่องที่ไม่มีอะไรแน่นอน” ย่อมจะมีการพลิกผันเปลี่ยนเกมส์ไปได้แทบทุกวินาทีที่กระพริบตาละครับ