จ่อเอาผิดเพิ่ม แก๊งโจ๋ป่วนเมือง ยิงปืนสวน ปาระเบิดสู้ทหาร คาดโทษผู้ปกครอง

นครพนม ที่แท้เป็นวัยรุ่นต่างถิ่น เชื่อมาตามล้างแค้นคู่อริ ตำรวจ สภ.โพนสวรรค์ จ่อเอาผิดเพิ่ม แก๊งโจ๋ป่วนเมือง ยกพวกยิงปืน ปาระเบิด สู้ทหาร ขณะตั้งจุดตรวจยาเสพติด เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่ม ทำให้เสียทรัพย์ พบหลักฐานทุบกระจกชาวบ้าน พังเสียหาย คาดอวดศักดา ฝากพ่อแม่ผู้ปกครอง ช่วยกันสอดส่องดูแล หากทำผิดซ้ำคาดโทษ เอาผิดผู้ปกครอง ฐานสนับสนุน

เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2567 ผู้สื่อข่าว รายงานว่า ที่ จ.นครพนม ความคืบหน้า กรณีมีคลิปข่าวเหตุการณ์ กลุ่มวัยรุ่นป่วนเมือง นับ 10 คน ตั้งแก๊งขับรถจักรยานยนต์ ป่วนเมือง ตระเวนขับรถจักรยานยนต์ไปตามหมู่บ้าน เพื่อหาเรื่องวัยรุ่นด้วยกัน แสดงความเป็นเจ้าถิ่น จนกระทั่งมีการขับรถจักรยานยนต์ พยายาม ไล่ล่าหวังทำร้ายคู่อริ มีการยิงปืน ปาระเบิดปิงปอง ไปตามเส้นทางหมู่บ้าน ในพื้นที่ บ้านนาขมิ้น ต.นาขมิ้น อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม จนกระทั่ง ประจวบเหมาะเจอกับ กำลังเจ้าหน้าที่ทหารชุดเฉพาะกิจ กองพันทหาราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 พร้อม ชุดเฉพาะกิจทหารหพราน ที่ 2103 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ตั้งจุดตรวจ จุดสกัดปราบปรามการลักลอบขนยาเสพติด จึงมีการปาระเบิดปิงปอง ยิงปืน สู้เจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อเปิดทางหนี พร้อมมีการบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ได้ และมีการติดตามจับกุมตัวได้ รวม 3 คนพร้อมอาวุธปืน ไทยประดิษฐ์ และอาวุธมีด ครบมือ แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต

 

ล่าสุดจากการลงพื้นที่ ตรวจสอบความเสียหายเพิ่มเติม ในพื้นที่จุดเกิดเหตุ บริเวณบ้านนาขมิ้น ต.นาขมิ้น อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม พบมีบ้านผู้เสียหาย เป็นบ้านพักชั้นเดียว ติดถนน มีบานกระจกหน้าต่างแตกเสียหาย 2 บาน พบหลักฐานเศษก้อนอิฐมวลเบา ตกในที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ ยังพบต้นไม้ถูกฟันเสียหาย บ่งบอกถึงความคึกคะนอง คุ้มคลั่ง ของกลุ่มวัยรุ่น ทั้งนี้ ทางตำรวจ สภ.โพนสวรรค์ อยู่ระหว่างการสอบสวน รวบรวมหลักฐานเพิ่มเติม เพื่อเอาผิดเพิ่มเติม ในฐานความผิด ทำให้เสียทรัพย์ นอกจากนี้ ในส่วนของกลุ่มวัยรุ่นที่ร่วมแก๊ง มีการติดตามได้ทั้งหมด 10 คน เป็นเยาวชน อายุระหว่าง 13-15 ปี พร้อมทำบันทึกประวัติ เรียกผู้ปกครอง มาว่ากล่าวตักเตือน กำชับให้ดูแลเข้มงวด สำหรับ เยาวชน 3 คน อายุ 15-13 ปี ที่ถูกดำเนินคดี ได้แจ้งข้อหา มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน อาวุธมีด ไว้ในครอบครอง เพื่อกระทำผิดกฎหมาย ส่งฝากขังศาลเยาวชนและครอบครัว เบื้องต้น มีรายงานว่า ศาลอนุญาตให้มีการประกันตัว และควบคุมความประพฤติ จนกว่าคดีจะสิ้นสุด

 

สอบถาม นายหนูไท อายุ 47 ปี เจ้าของบ้านที่ถูกปาอิฐ พังเสียหาย ยอมรับว่า เป็นการก่อเหตุที่น่ากลัวมาก เป็นภัยสังคม ตนนอนอยู่ในบ้าน ต้องพาภรรยาลูกชาย 6 ขวบ วิ่งหนีออกหลังบ้าน เพราะไม่มั่นใจว่า จะพังบ้านเข้ามาทำร้าย ส่วนสาเหตุเชื่อว่า ไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน อาจเข้าใจผิด หรือก่อเหตุเพื่ออวดศักดา หวังประกาศอิทธิพล กลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่ ที่อาจมีเรื่องกันมาก่อน เพราะเป็นวัยรุ่นมาจากต่างถิ่น เป็นชาว อ.ท่าอุเทน ที่อยู่เขตติดต่อกัน โชคดีมีได้รับอันตราย อยากให้ทางตำรวจ ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และวางมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก เป็นภัยสังคม ถ้าตนออกมาถาม และออกมาจากบ้าน เชื่อว่าถูกทำร้ายนแน่นอน

 

นอกจากนี้ ยังมี นายสวาท ดินจันทร์เมือง อายุ 50 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 3  บ้านนาขมิ้น ต.นาขมิ้น อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม ระบุว่า ยอมรับวัยรุ่นในพื้นที่ กับวัยรุ่นต่างถิ่น ในพื้นที่ อำเภอใกล้เคียงเคย มีเรื่องกัน ทำให้ถือโอกาสตระเวนก่อกวน และแสดงความเป็นเจ้าถิ่น ไม่สนใจว่าเป็นใคร เจอใครทำร้ายหมด ปกติจะมีการร่วมกับตำรวจ รวมถึงผู้นำชุมชน ตระเวนตรวจสอบดูแลความเรียบร้อย ในหมู่บ้าน แต่พอเจ้าหน้าที่พัก ถือโอกาสก่อเหตุทันที อย่างไรก็ตามจะมีมาตรการเข้มงวดดูแล และฝากพ่อแม่ผู้ปกครองช่วยกันสอดส่องดูแลช่วยกัน

 

ส่วน พ.ต.อ.คุรุพงษ์ แก้วสะอาด ผกก.สภ.โพนสวรรค์ เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุยืนยันว่า มีชาวบ้านแจ้งว่ามีกลุ่มวัยรุ่น ก่อเหตุความเดือดร้อนรำคาญ ขับรถจักรยานยนต์ ตระเวนไปตามหมู่บ้าน มีอาวุธครบมือ จึงได้นำสายตรวจ พร้อมชุดสืบสวน ออกตรวจสอบ ระงับเหตุ จึงสลายตัวหนีไป พอเจ้าหน้าที่กลับ จึงถือโอกาสก่อเหตุซ้ำอีก ยอมรับส่วนใหญ่เป็นเยาวชน ที่มีประวัติเคยทะเลาะวิวาท แต่เป็นเหตุเล็กน้อย เป็นการอวดศักดา แสดงความเป็นนักเลงเจ้าถิ่น อาจเป็นพฤติกรรมลอกเลียนแบบ ด้วยความคึกคะนอง สำหรับเยาวชน 3 คน ที่ถูกดำเนินคดี ในข้อหาพกพาอาวุธปืน พกพาอาวุธมีด แต่ส่วนที่เหลือในกลุ่ม รวมทั้งหมด 10 คน ได้เรียกมาทำประวัติ พร้อมเชิญผู้ปกครองมาว่ากล่าวตักเตือน ให้ดูแลช่วยกัน ไม่ให้ก่อเหตุซ้ำ หากใครพบหลักฐานมีการปาอิฐ ปาหิน จนบ้านชาวบ้านได้รับความเสียหาย จะต้องแจ้งข้อหาเพิ่ม อย่างไรก็ตามสำคัญที่สุดพ่อแม่ผู้ปกครอง ต้องช่วยกันดูแลบุตรหลาน หากมีการทำผิดซ้ำ อาจจะต้องดำเนินคดีผู้ปกครอง ฐานสนับสนุนด้วย สำหรับเจ้าหน้าที่จะจัดสายตรวจออกตรวจสอบดูแลเข้มงวดมากขึ้น