กลายเป็นศัพท์ยอดฮิต ณ ชั่วโมงนี้ พ.ศ.นี้
สำหรับ คำว่า “เอไอ” อย่างชนิดที่กล่าวได้ว่า “เอะอะอะไรก็เอไอ” กันเลยทีเดียว
โดยคำว่า “เอไอ” นั้น ก็เป็นคำย่อของ “อาร์ทิฟิเชียล อินเทลลิเจนซ์” (AI : Artificial Intelligence) อันหมายถึง “ปัญญาประดิษฐ์” นั่นเอง
ทั้งนี้ ปัญญาประดิษฐ์ข้างต้น หากว่ากันตามแนวคิด ก็มีมาช้านานแล้ว ตั้งแต่สมัยอารยธรรมกรีกโบราณด้วยซ้ำ โดยมีวัตถุประสงค์ ก็เพื่อสร้าง “ความฉลาดเทียม” ให้แก่ “สิ่งที่ไม่มีชีวิต”
อย่างไรก็ตาม ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ อย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันจริงๆ บนโลกเรา ก็เริ่มขึ้นเมื่อราวปี 1956 (พ.ศ. 2499) ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนที่ในเวลาต่อมาเอไอ จะถูกนำไปประยุกต์ใช้ในอุปกรณ์เทคโนโลยีต่างๆ นอกเหนือจากพวกหุ่นยนต์ หรือโรบอตแล้ว
ส่วน ณ ปัจจุบัน ระบบเอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์ ถูกพัฒนาจนล้ำหน้า จนเป็นงานเทคโนโลยีที่ต้องยอมรับว่า ขาดไม่ได้เสียแล้ว สำหรับในยุคนี้ และยุคต่อๆ ไปในอนาคต โดยเอไอได้แทรกปนไปแม้กระทั่งในวงวิชาการความรู้แขนงต่างๆ เช่น แชทจีพีที เป็นต้น
กระทั่งสามารถกล่าวได้ว่า ระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ทรงไว้ซึ่ง “ประโยชน์อย่างมากมาย” หรือ “คุณอนันต์” ทว่า ในขณะเดียวกัน ผู้สันทัดกรณี ก็กล่าวติงเตือนว่า ระบบเอไอหาได้มีแต่คุณประโยชน์อย่างมหาศาลแต่เพียงฝ่ายเดียว แต่ยังมีโทษของมันอยู่ในตัวมิใช่น้อยเหมือนกัน เข้าทำนองที่ว่า “คุณอนันต์ โทษมหันต์”
โดยโทษมหันต์ของระบบเอไอที่ว่า ก็จะเป็น “ความเสี่ยง” ที่อาจจะเกิดขึ้น ด้วยการใช้ระบบเอไอเป็นเครื่องมือ จนถือได้ว่า เป็นภัยความเสี่ยงของมนุษยชาติเราประการหนึ่ง
ทั้งนี้ ตามการติงเตือนของผู้สันทัดกรณีที่มีต่อความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการใช้ระบบเอไอ ก็มีหลายประการด้วยกัน ได้แก่
-ความเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัว โดยเป็นความกังวลจากกรณีที่ว่า ข้อมูลส่วนตัวของคนเรา จะถูกนำไปประมวลผล และถูกนำไปใช้จัดการในทางที่ผิด ผ่านกระบวนการต่างๆ ของระบบเอไอ
โดยมีรายงานด้วยว่า ผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนไม่น้อยที่ออกอาการตะลึงงันไปตามกัน ทันทีที่รู้ว่าข้อมูลของพวกเขาถูกนำไปเผยแพร่ ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกสวมรอยได้ง่ายๆ ด้วยระบบเอไอ
-ความเสี่ยงภัยจากการ “ลวงลึก” หรือที่เรียกกันจนคุ้นปากว่า “ดีพเฟค (Deep fake)” โดยระบบเอไอ สามารถสร้างเนื้อหาต่าง เช่น ภาพเคลื่อนไหว หรือวิดีทัศน์ วิดีโอ ตลอดจนน้ำเสียง และกริยาท่าทาต่างๆ ได้ราวกับเป็นบุคคลคนเดียวที่ตกเป็นเป้า เช่น ผู้นำประเทศใดประเทศหนึ่งใครสักคน ได้เหมือนราวกับเป็นคนๆ เดียว แล้วอาจถูกนำไปสร้าง ไปตกแต่ง กระทำการในสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ออกมา ก็จะสามารถทำให้ผู้คนหลงเชื่อได้ง่ายๆ เพราะคิดว่า เป็นการพูด และการกระทำของผู้นำประเทศคนนั้นๆ จริงๆ ซึ่งอาจสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้ หากถูกนำไปแอบอ้างไปในทางที่ผิดๆ
-ความเสี่ยงด้านระบบอัตโนมัติจากเอไอ ซึ่งในที่นี้หมายถึงการที่เอไอ ถูกนำไปใช้ในการสร้างหุ่นยนต์ หรืออุปกรณ์แขนกลต่างๆ ในการผลิตสินค้าต่างๆ แวดวงธุรกิจ แน่นอนว่า ก็ย่อมส่งผลต่อระบบการจ้างแรงงานของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงมิได้ และถือเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์เราประการหนึ่ง เพราะทำให้มนุษย์เราตกงาน
-ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการโจมตีต่อระบบไซเบอร์โดยใช้เอไอที่มีความล้ำสมัยเป็นเครื่องมือ
-ความเสี่ยงด้านข้อมูล ที่อาจขยาย และกระจายข้อมูลต่างๆ ให้เผยแพร่ออกไป ซึ่งในประเด็นนี้ ทางผู้สันทัดกรณีก็ชี้ว่า มักจะเป็นขยาย หรือกระจายข้อมูลออกไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่อาจจะเกิดจากอัลกอริธึมของระบบเอไอเอง ซึ่งที่นับว่าสร้างความเสียหายได้เป็นอย่างมาก ก็คือ การกระจายข้อมูลเท็จ หรือที่เรียกว่า ข่าวปลอม ออกไปสู่สาธารณชน
-ความเสี่ยงด้านการสูญเสียการควบคุม ซึ่งในที่นี้หมายถึงการที่มนุษย์เรา พึ่งพาระบบเอไอมากเกินไป ก็อาจจะมีผลต่อศักยภาพของมนุษย์ผู้ใช้เอง ที่ต่อไปในอนาคตตัดสินใจอะไรเองไม่ได้ เพราะพึ่งพาระบบเอไอจนเคยชิน หรือเคยตัว
ว่ากันถึงความเสี่ยงอันน่าสะพรึงต่างๆ จากระบบเอไอเหล่านี้ บรรดาบริษัททั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสหรัฐฯ ก็เริ่มมีความตระหนักกันมากขึ้น จากผลการสำรวจความคิดเห็นของบรรดาผู้บริหารบริษัทต่างๆ และมีการจัดทำเป็นรายงานเผยแพร่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้โดย “แอไรซ์ เอไอ” ซึ่งเป็นบริษัทด้านการวิจัยในสหรัฐฯ
โดยการสำรวจวิจัยได้ดำเนินการกับบริษัท 500 แห่ง ที่มีการจัดอันดับโดยนิตยสารฟอร์จูน หรือที่เรียกว่า “ฟอร์จูน 500 คอมปานีส์ (Fortune 500 companies) พบว่า บริษัทถึง 281 แห่ง จากจำนวน 500 บริษัทข้างต้น หรือคิดเป็นร้อยละ 56.2 ที่กังวลถึงเรื่องความเสี่ยงจากระบบเอไอ
ทั้งนี้ จำนวนบริษัท 281 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 56.2 ดังกล่าว ก็ถือเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากการสำรวจปีก่อนหน้า คือ 2023 (พ.ศ. 2566) ถึงร้อยละ 473.5 หรือกว่า 4.73 เท่าเลยทีเดียว โดยในการสำรวจเมื่อปีที่แล้ว พบว่า จำนวนบริษัทที่ตระหนัก หรือมีความกังวลต่อความเสี่ยงจากระบบเอไอมีจำนวนเพียง 49 แห่งเท่านั้น
ในการสำรวจของ “แอไรซ์ เอไอ” ยังพบด้วยว่า หากแยกย่อยออกไปในแต่ละประเภทบริษัทที่มีความกังวลต่อระบบไอเอ ก็มีดังนี้ บริษัทด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือไอที และซอฟต์แวร์ต่าๆ จำนวนอยู่ที่ร้อยละ 86.4 ซึ่งถือนำโด่งเป็นที่ 1 มาเลย รองลงมาได้แก่กลุ่มบริษัทด้านสื่อสารโทรคมนาคมที่ร้อยละ 70 ตามมาด้วยกลุ่มบริษัทด้านดูแลสุขภาพที่ร้อยละ 65.1 และกลุ่มบริษัทด้านการเงิน การธนาคาร ที่ร้อยละ 62.7 ปิดท้ายด้วยกลุ่มบริษัทด้านค้าปลีกที่ร้อยละ 60