ผู้ว่าฯบุรีรัมย์ –อุดรมีชัย กัมพูชา เตรียมทำบันทึกข้อตกลง เปิดให้ทั้งจังหวัดเข้าออก "ช่องสายตะกู" ได้ กระตุ้น ศก.ชายแดน
ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ และผู้ว่าอุดรมีชัย กัมพูชา พร้อมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมทำบันทึกข้อตกลงสิ้นเดือน ส.ค. ขยายพื้นที่เข้า-ออกจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู จากเดิมข้ามได้แค่บ้านกรวดอำเภอเดียวเพิ่มเป็นทั้งจังหวัด ด้วยบอเดอร์พาสหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ทั้งเพิ่มเวลาเข้าออกถึง 18.00 น. หวังกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าและท่องเที่ยวชายแดน พร้อมเดินหน้ายกระดับเป็นด่านผ่านแดนถาวรในอนาคต
(27 ส.ค.67) นายบุญเต็ม กัลยาพานิช นายอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ออกมาระบุถึงความก้าวหน้าในการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ กับช่องจุ๊บโกกี อ.บันเตียอัมปึล จ.อุดรมีชัย ราชอาณาจักรกัมพูชา ว่า ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม 2567 ที่จะถึงนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย พร้อมด้วยส่วนราชการที่เกี่ยวข้องของฝั่งกัมพูชา จะเดินทางมาทำบันข้อตกลงร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ศูนย์ราชการจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อขยายพื้นที่เข้า-ออกจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนช่องสายตะกู จากเดิมจะอนุญาตให้ข้ามได้เฉพาะผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ใน อ.บ้านกรวด เท่านั้น แต่การบันทึกข้อตกลงครั้งนี้จะอนุญาตให้ผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในทั้ง 23 อำเภอ ของจังหวัดบุรีรัมย์ สามารถเข้า-ออกช่องสายตะกูได้ และเพิ่มเวลาเข้าออกจากเดิม 08.00 – 15.00 น. เพิ่มเป็น 08.00 – 18.00 น. โดยการทำบอเดอร์พาส หรือหนังสือผ่านแดนชั่วคราว ที่มีระยะเวลา 7 วัน
โดยทางกรมการปกครองได้อนุมัติงบจัดซื้อเครื่องทำบอเดอร์พาสแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง หากผ่านกระบวนการจัดซื้อเสร็จเรียบร้อย ก็จะนำเครื่องมาไว้ที่ที่ว่าการอำเภอบ้านกรวด โดยผู้ที่จะผ่านเข้า-ออก จะต้องทำบอเดอร์พาสที่ที่ว่าการอำเภอบ้านกรวด การพิจารณาให้ขยายพื้นที่เข้า-ออกจุดผ่อนปรนช่องสายตะกู ก็เพื่อให้เกิดการกระตุ้นทั้งเศรษฐกิจการค้าขาย และท่องเที่ยวชายแดนด้วย
โดยจะมีการหารือถึงแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา ผ่านบันทึกข้อตกลงดังกล่าวด้วย โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องยึดถือปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลง หากทำบันทึกข้อตกลงแล้วเสร็จ ชาวกัมพูชาก็จะสามารถเดินทางเข้าไปจับจ่ายซื้อของและท่องเที่ยวได้ถึงในตัวจังหวัดบุรีรัมย์ ส่วนประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ทั้ง 23 อำเภอ ก็สามารถข้ามฝั่งไปยังจังหวัดอุดรมีชัยได้ โดยการใช้บอเดอร์พาส ซึ่งจะมีอายุได้ 2 ปี ค่าทำธรรมในการทำคนละ 200 บาท โดยผู้ที่ถือบอเดอร์พาสก็จะสามารถข้ามแดนและอยู่ในประเทศของทั้งสองฝั่งเป็นระยะเวลา 7 วันต่อครั้งตามข้อตกลง
ก็ถือเป็นแนวโน้มที่ดีในการผลักดันกระตุ้นเศรษฐกิจการค้าขายชายแดน โดยหากคนกัมพูชาสามารถเข้าไปในตัวจังหวัดบุรีรัมย์ได้ ก็จะส่งผลดีด้านการท่องเที่ยว เพราะจังหวัดบุรีรัมย์มีทั้งสนามฟุตบอล สนามแข่งรถ และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง ที่ชาวกัมพูชาอย่างจะเข้าไปเที่ยวชม ส่วนฝั่งกัมพูชาเองก็จะมีปราสาทที่สำคัญและสวยงามหลายจุดที่คนไทยอยากจะไปเที่ยวชมเหมือนกัน ก็จะเป็นการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวทางอารยะธรรมขอมระหว่างไทยกัมพูชาได้เป็นอย่างดี
และในอนาคตฝั่งกัมพูชาอาจจะให้คนที่ถือบอเดอร์พาส สามารถเข้าไปเที่ยวชมถึงนครวัด นครฐม ซึ่งเป็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่ระดับโลกที่หลายคนอยากจะไป ก็คาดว่าภายในไม่เกินสิ้นปีนี้จะสามารถเปิดใช้บอเดอร์พาสได้
ที่สำคัญกว่านั้นในอนาคตก็จะเดินหน้าผลักดันให้เป็นจุดผ่านแดนถาวรเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันที่เปิดให้ทำการค้าขายระหว่างกัน ฝั่งไทยจะได้ดุลทางการค้าเฉลี่ยสัปดาห์ละหลักล้าน และหากดูสถิติย้อนหลังมีเงินสะพัดปีละนับร้อยล้านบาท ซึ่งไทยจะได้เปรียบเรื่องดุลการค้ามากกว่า เพราะชาวกัมพูชาส่วนใหญ่จะซื้อสินค้าจากฝั่งไทย อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค ปุ๋ย ยารักษาโรค และอื่นๆ อีกหลายอย่าง เพราะสินค้าไทยมีคุณภาพ.