"ขุนคลัง" ย้ำหุ้นไทยเริ่มไต่ระดับหลังความเชื่อมั่นฟื้น หวังกลับไปยืนที่ 1,800 จุด ชี้หุ้นขึ้น 100 จุดมีผลกับมาร์เก็ตแคป 1.2 ล้านล้านบาท
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังยังคงเดินหน้าฟื้นความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทยอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกับตลาดทุน ทั้งสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) โดยร่วมประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อทำให้กระบวนการทำงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในตลาดทุนเกิดความรวดเร็ว เพื่อไม่สร้างความเสียหายให้เกิดแก่ผู้ลงทุน และกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในตลาดทุนไทย
โดยกระทรวงการคลังมองว่า การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมา นอกเหนือจากความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจไทย และมาตรการต่าง ๆ แล้วนั้น ยังมาจากความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในการที่หน่วยงานต่างๆร่วมมือกันในการตรวจสอบและเร่งดำเนินการกับผู้กระทำความผิดที่สามารถเห็นผลออกมาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมา ซึ่งกระทรวงการคลังมีความคาดหวังว่าหลังจากนี้ จะเห็นทิศทางของตลาดหุนไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ
ทั้งนี้การที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้น จะเป็นหนึ่งตัวช่วยในการเสริมสร้างความมั่งคั่งให้กับคนไทยได้ โดยเฉพาะนักลงทุนไทยที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย ซึ่งการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นทุกๆ 100 จุดจะทำให้ความมั่งคั่งที่คิดมาจากมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) เพิ่มขึ้น 1.2 ล้านล้านบาท ปัจจุบันดัชนี SET อยู่ที่ 1,300 จุดเศษ ๆ ซึ่งลดลงค่อนข้างมากจากระดับสูงสุดเดิม ทำให้ความมั่งคั่งของนักลงทุนลดลง โดยทื่กระทรวงการคลัง คาดหวังจะเห็นดัชนี SET กลับขึ้นไปยืนที่ระดับ 1,800 จุด ซึ่งมี Market Cap อยู่ที่กว่า 20 ล้านล้านบาท ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทยกลับมามีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น
สำหรับความคืบหน้าของการเสนอขายกองทุนวายุภักษ์นั้น นายพิชัยกล่าวว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม และมีการสำรวจความต้องการของกลุ่มต่างๆ ซึ่งได้มีการพูดคุยกับสถาบันการเงิน ธนาคารพาณิชย์ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาพิจารณาในรูปแบบการเสนอขายให้เหมาะสม โดยคาดว่าจะเสนอขายกองทุนวายุภักษ์ได้ในช่วงปลายเดือนก.ย. หรือต้นเดือนต.ค.67
รมว.คลัง ยังกล่าวถึงเงินบาทที่กลับมาแข็งค่าขึ้นมากว่า เป็นไปตามภาวะตลาดการเงินโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าและอ่อนค่าตามปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก และมองว่ายังไม่มีผลกระทบต่อภาคการส่งออกแต่อย่างใด และปัจจุบันปริมาณ และราคาสินค้าส่งออกยังอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง
#หุ้นไทย #ข่าววันนี้ #กระตุ้นเศรษฐกิจ #เงินบาท