วันที่ 25 สิงหาคม 2567 นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตามที่นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ออกมายอมรับว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหมายเรียกให้ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รทสช. ไปให้ปากคำคดีม.112 ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯพูดที่ประเทศเกาหลีใต้นั้น ต้องถามนายเอกนัฏ ว่าไปในฐานะอะไร เป็นราชบัณฑิต เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ หรือเป็นตัวพยานที่นายทักษิณกล่าวอ้างในหนังสือขอความเป็นธรรมให้สอบพยานเพิ่มเติมฝ่ายนายทักษิณ ที่มีรายชื่อนายเอกนัฏและนายทหารระดับพลเอกนั้น ถ้าอ้างว่าไปตามหน้าที่ตามกฎหมาย เหตุไฉนจึงไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนตั้งแต่ต้นและเหตุใดจึงไปให้การเข้าข้างนายทักษิณ ถ้านายทักษิณ ชินวัตร ผู้ต้องหาไม่ระบุชื่อนายเอกนัฏ ตำรวจจะออกหมายเรียกให้ไปเป็นพยานหรือ ทำไมไม่เรียกนายวัชระ เพชรทอง ไปเป็นพยานบ้าง แสดงว่านายทักษิณ กับพวกมีการเตรียมรายชื่อพยานทั้งหมดมาก่อน ตำรวจจึงออกหมายเรียกนายเอกนัฏ ไปให้การต่อหน้าตำรวจและอัยการ เพราะเป็นคดีที่เกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรและเมื่อนายเอกณัฐไปให้การก็สามารถไม่ให้การหรือบอกไม่รู้ไม่เห็นก็ได้ แต่ที่น่าสงสัยในพฤติกรรมคือเหตุใดไปให้การเข้าข้างทักษิณ เป็นประโยชน์อย่างมากกับทักษิณ บอกว่าคำพูดของทักษิณไม่เข้ามาตรา 112 นั้น
ดังนั้น นายเอกนัฏ ต้องตอบคำถามประชาชนที่สงสัยว่ามีสิ่งใดไปดลบันดาลใจให้นายเอกณัฐไปให้ปากคำเช่นนั้น ทั้งที่นายเอกนัฏเป็นเลขาธิการ กปปส. ผู้นำเป่านกหวีดต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ จนมีคนตาย 25 คน บาดเจ็บสุทธิ 782 คน วิญญาณของผู้บริสุทธิ์ที่ตายไปเพราะระเบิดและอาวุธปืนจะเป็นสุขหรือ สื่อมวลชนพาดหัวว่าหมดเงินไป 4 พันล้านบาท ผู้บริจาคเงินจะคิดอย่างไร มวลชนเสียสละเวลาเสียสละทรัพย์เข้าร่วมประท้วงจะคิดอย่างไร
" การที่นายอรรถวิชช์ มาพูดว่า มิใช่การเสนอตัวไปให้การเองนั้น นายอรรถวิชช์ไปโกหกที่อื่นเถอะครับ ถ้าไม่ใช่การเสนอตัวหรือถูกครอบงำสมยอมมาตั้งแต่ต้นจะมีชื่อนายเอกณัฐในหนังสือขอความเป็นธรรมของนายทักษิณได้อย่างไรและเมื่อตำรวจสอบพยานที่นายทักษิณอ้างทุกปากแล้ว อัยการสูงสุดก็ยังสั่งฟ้องตามอัยการสูงสุดท่านที่แล้ว"
นายวัชระ กล่าวว่า ฉะนั้น การไปเป็นพยานของนายเอกนัฏ จึงเป็นภารกิจแรกของการเป็นเลขาธิการพรรคใช่หรือไม่ ส่วนคดีกปปส.นายอรรถวิชช์ ควรกลับไปอ่านระเบียบการดำเนินคดีอาญาของสำนักงานอัยการสูงสุด ว่ากรณีศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต่างกันต้องฎีกาต่อศาลสูงให้วินิจฉัยชี้ขาด แม้แต่ประชาชนทั่วไปยังรู้เลยว่าต้องรอศาลฎีกาตัดสิน ไม่ใช่หยุดอยู่ที่ศาลอุทธรณ์เท่านั้น นายอรรถวิชช์ควรไปอ่านระเบียบหรือถามอัยการอาวุโส ส่วนเรื่องการไปต่อรองตำแหน่งทางการเมืองตนไม่ได้พูด นายอรรถวิชช์ออกมาพูดเอง ไม่รู้นำมาพูดให้เป็นประเด็นทำไม ใครจะเล่นละครหลอกประชาชนหรือเล่นลิเกหลอกมวลมหาประชาชนก็ว่าไปตามบท แต่ขออนุญาตนำความจริงมาบอกพี่น้องประชาชนให้ตาสว่างในวันนี้
" ผมทำหน้าที่ประชาชนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ไปขัดขาใครเป็นรัฐมนตรี เพียงแต่ต้องเป็นไปตามจริยธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยไว้แล้วเท่านั้น ไม่ต้องมาเสียเวลาเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีคนใหม่อีก เพราะเสียโอกาสซ้ำซากในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
นายอรรถวิชช์จึงควรดูเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งและรอบด้าน จะได้ไม่พลาดเหมือนสมัยที่ ปปง. เคยประกาศยึดที่ดินของนายอรรถวิชช์ 2-3 แปลง ผมก็จำไม่ได้เสียแล้วว่า ปปง.ยึดที่ดินนายอรรถวิชช์ด้วยมูลเหตุใดเพราะเรื่องอยู่ที่ ป.ป.ช.นานมากแล้ว" นายวัชระ กล่าว