ตำรวจไซเบอร์บุก 4 บริษัทเทรดหุ้นต่างประเทศทิพย์ เหยื่อทยอยเข้าแจ้งความแล้ว 27 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 70,391,813 บาท

เมื่อวันที่ 24 ส.ค. พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. สั่งการให้ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 พ.ต.อ.กฤษดา มานะวงศ์สกุล ผกก.1 บก.สอท.5 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กก.1 บก.สอท.5 เข้าตรวจค้นเป้าหมายทั้ง 4  จุด จุดที่ 1 บริษัท พี ซี อินเตอร์เนชั่นเนลเทรด จำกัด ตั้งอยู่พื้นที่ ม.9 ต.นาทับไฮ อ.รัตนวาปี จ.หนองคาย ซึ่งจดทะเบียนเป็นบริษัทผลิตผลิตภัณฑ์จากสัตว์ แต่ปรากฎว่ามีสภาพเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ ในชุมชน มีโต๊ะเพียงแค่ 1 ตัว พร้อมควบคุมตัวน.ส.พีรยา อายุ 25 ปี กรรการบริษัทมาสอบสวน

จุดที่ 2 บริษัท แฟชั่นนิสต้า จำกัด ตั้งอยู่พื้นที่ ถนนมาบยา ต.มาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง จดทะเบียนการค้าเป็นบริษัทขายปลีกเสื้อผ้า แต่แต่ปรากฎเป็นเพียงห้องแถวชั้นเดียวสำหรับพักอาศัย เท่านั้น

จุดที่ 3 ห้างหุ้นส่วนจำกัด พีรยา การค้า ตั้งอยู่ในพื้นที่ ม.8 ต.วัดพริก อ.เมืองพิษณุโลก จ.พิษณุโลก จดทะเบียนการค้าเพื่อจำหน่ายอาหารทะเลแปรรูป อาหารสัตว์ แต่ปรากฎเป็นบ้าน 2 ชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ ไม่มีการประกอบกิจการค้าแต่อย่างใด

จุดที่ 4 บริษัท พรสินาพรรณ ทรานสปอร์ต จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ ม.4 ต.ชะแมบ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา จดทะเบียนการค้าเพื่อขนส่งสินค้าและคนโดยสารทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่พบสภาพจริงเป็นร้านขายของชำ และบ้านพักอาศัย ไม่มีการประกอบกิจการบริษัทแต่อย่างใด

การเข้าตรวจค้นในครั้งนี้สืบเนื่องจากได้มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กก.1 บก.สอท.5 ถูกกลุ่มมิจฉาชีพติดต่อเข้ามาทำความรู้จักบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และได้คุยกันต่อผ่านแอปพลิเคชัน Line จนเกิดความสนิทสนม ต่อมาชักชวนให้ร่วมลงทุนเทรดหุ้นต่างประเทศ อ้างว่าได้รับผลตอบแทนสูง จนผู้เสียหายหลงเชื่อและมีการโอนเงินให้กลุ่มผู้ต้องหา รวม 9 ครั้ง รวมมูลค่ากว่า 3,730,000 บาท

จากการสืบสวนทำให้ทราบว่า กลุ่มมิจฉาชีพได้เปิดบัญชีธนาคารในรูปแบบบริษัทเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และใช้เป็นช่องทางการรับโอนเงินที่ได้จากผู้เสียหาย จากการตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า หลังจากเหยื่อโอนเงินเข้าบัญชีม้าของบริษัทแล้ว จะมีการโอนเงินออกไปยังบัญชีม้าแถวอื่นๆ ในทันทีโดยบัญชีม้าบริษัทที่กลุ่มมิจฉาชีพใช้ในครั้งนี้ ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.หนองคาย จ.ระยอง จ.พิษณุโลก และ จ.พระนครศรีอยุธยา และไม่มีการประกอบกิจการจริงแต่อย่างใด จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายค้นกลุ่มบริษัทดังกล่าว

พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องไว้แล้ว จำนวน 9 ราย และจับกุมได้แล้ว จำนวน 4 ราย ซึ่งทำหน้าที่เป็นกรรมการบริษัทและเปิดบัญชีธนาคาร โดยผู้ต้องหายอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้ไปจดทะเบียนพาณิชย์ในลักษณะห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือ บริษัทจำกัด เพื่อนำไปเปิดบัญชีธนาคาร ซึ่ง 1 คน จะต้องเปิดบัญชีธนาคารให้ได้จำนวน 5 บัญชี โดยจะได้รับค่าตอบแทนบัญชีละ 7,000 บาท ซึ่งถือว่าสูงกว่าค่าจ้างการเปิดบัญชีม้าในนามบุคคลธรรมดา ซึ่งขณะนี้ทางตำรวจไซเบอร์อยู่ระหว่างขยายผลเพื่อจับกุมนายทุน และผู้เกี่ยวข้องรายอื่นๆ ทั้งนี้จากการตรวจสอบความเชื่อมโยงของกลุ่มบริษัทดังกล่าว พบว่ามีการหลอกลวงผู้เสียหายจากทั่วประเทศ ซึ่งมีเหยื่อทยอยเข้าแจ้งความแล้ว จำนวน 27 ราย รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 70,391,813 บาท

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวน.ส.พีรยา อายุ 25 ปี ดำเนินคดีในข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น ร่วมกันโดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน” ซึ่งการกระทำผิดดังกล่าวมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 1,000 บาท ถึง 14,000 บาท ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป