เมื่อวันที่ 23 ส.ค.67 นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง ศาลปากหมา???

                                         ศาลปากหมา???
                                                                                                    แก้วสรร อติโพธิ

ถาม   “ศาลปากหมา”...นี่ถอดถอนฐานผิดจริยะธรรมได้ไหม
ตอบ    ปากหมายังไง

ถาม   ก็คุณอุดม สิทธิวิรัชธรรม หนึ่งในตุลาการรัฐธรรมนูญ ที่วินิจฉัยให้ยุบพรรคก้าว

         ไกล ไปพูดเยาะเย้ยเขาในเวทีอภิปรายทางวิชาการว่า ...เห็นก่อนยุบพรรคก็

         ร้องไห้กันใหญ่ พอยุบจริงๆก็ยักไหล่ไปตั้งพรรคใหม่ เปิดรับบริจาคได้เงินตั้ง

         ๒๐ ล้าน แล้วอย่างนี้ไม่ขอบคุณผมบ้างเลยหรือ... พอไปพูดอย่างนี้  ตัวตึง

         ในพรรคส้มเขาก็เดือด นี่ว่าจะยื่นถอดถอนกันเลยนะครับ

ตอบ   ผมตรวจสอบแล้ว ฟังดูก็เป็นคำถามจากเวทีข้างล่าง ถามเรื่องยุบพรรคว่ายุบ

         ไปทำไม ยุบแล้วก็ซื้อหัวพรรคใหม่มาเปลี่ยนชื่อกันได้ทุกทีไป  มันยุบชื่อ หรือ

         ยุบตัวกันแน่

         พอถามอย่างนี้ก็เข้าประเด็นวิชาการเลยว่า พรรคการเมืองไทยมีจริงไหม คุณ

         อุดมท่านก็คุยว่า เคยไปเข้าหลักสูตร กกต. ฟังเขาเล่าข้อมูลก็เห็นตัวอย่างชัด

         ว่าเรื่องจดทะเบียนตั้งพรรคการเมืองนี่มันเหลวไหลกันอย่างไร แล้วท่านก็เข้า

         เรื่องยุบพรรคส้ม เป็นตัวอย่างต่อไปว่า ร้องไห้กลัวยุบพรรคกันทำไม พอยุบก็

         ยักไหล่แล้วได้เงินอีก   

         คุณว่าพูดอย่างนี้ปากหมาไหม?

ถาม    อาจารย์ว่า มันเป็นการใช้เสรีภาพทางความคิด อย่างนั้นหรือ
ตอบ    ผมว่างานนี้มันมีที่มาที่ไป เป็นวงวิชาการ   มีคนถามปัญหาสำคัญ คนอภิปราย

          ก็ต้องตอบให้เห็นเป็นความคิดของตนว่า...พรรคการเมืองไทยมันไม่มีอยู่จริง

          ผมรู้ข้อมูลดีอย่างไรก็ว่าไป... ทั้งหมดมันไม่ใช่เรื่องถูกด่ามากๆ ตุลาการก็เลย

          พล่านออกมาตอบโต้ เยาะเย้ย ด่าว่าเขา แต่อย่างใด

ถาม   เป็นศาลแล้วทำไมไม่รู้จักพูดจาให้อยู่ในทำนองของเหตุผล ไปเยาะเย้ยเสียดสี

          เขาทำไม
ตอบ   นั่นเป็นความรู้สึกของคนฟัง ที่ฟังแล้วรู้สึกต่าง เห็นต่างกันไปได้ แต่ในทาง

         รัฐธรรมนูญนั้น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนี่ กินความครอบคลุมถึง

         ลีลาท่าที ด้วยนะครับ ถ้ามีเนื้อหาเป็นการนำเสนอความคิดเห็น ไม่ใช่หาเรื่อง

         ปลุกระดมที่ด่าว่าเขาดื้อๆแล้ว คนนำเสนอจะใช้ลีลาอย่างไรก็เป็นเสรีภาพ

         ของเขา หน้าที่พูดจาโดยสงบเรียบร้อยไม่มีนะคุณ มีแต่ชุมนุมโดยสงบ   

ถาม   ถ้าเป็นพระเดินบิณฑบาตร แล้วผิวปากร้องเพลงไปด้วยพอเป็นความสุขใจ

          อย่างนี้เป็นสิทธิส่วนบุคคลอย่างนั้นหรือ
ตอบ   มันเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมกับสมณาสารูป เป็นโลกะวัชชะที่โลกติเตียน

         เอามาเทียบกับการครองตนของตุลาการไม่ได้ ว่าอันที่จริงพวกตุลาการเขา

         อุตส่าห์ตัดสินไป แทนที่คำวินิจฉัยจะถูกหยิบยกมาวิพากษ์กันก็กลับถูกฝ่าย

         ที่ถือประชาธิปไตยเป็นนามบัตร เยาะเย้ยด่าว่าโจมตีที่ตัวบุคคลกันมากมาย

         อย่างนี้ มันถูกหรือ

ถาม   ถ้าเป็นผม ผมเหนื่อยย่ากตัดสินตามกฎหมายไปแล้ว แล้วมันไม่ได้ผลอะไร ก็

         น่าจะแก้กฎหมาย เลิกอำนาจยุบพรรคปกป้องรัฐธรรมนูญไปเลยจะดีกว่า มาด่า

         ผมที่ทำตามกฎหมายทำไม

ตอบ   ผมว่าเลิกบังคับ สส.สังกัดพรรคไปเลยก็ได้ ใครจะตั้งพรรคอะไรก็ว่าไป มาจด

         ทะเบียนให้เป็นนิติบุคคลได้เท่านั้นก็พอ ความจริงในการเมืองไทยมันเป็น

         อย่างนี้อยู่แล้ว พอเราไปรับรองแล้วบังคับให้ สส.สังกัดพรรค มันก็เลยเป็น

         หลักประกันให้พวกนายทุนมันเข้ามาลงทุนจนเละเทะอย่างทุกวันนี้

          ส่วนอำนาจปกป้องรัฐธรรมนูญก็ลดลงมา มีแค่สั่งให้หยุดกร่อนเซาะอย่างนั้น

          อย่างนี้ก็พอ....ต่อไปจะได้ไม่มีใครมาขอบริจาคกันอีก

          ผมทิ้งท้ายแถมมาอย่างนี้...คุณว่าผมปากหมาไหม?
                                                                  ...............................

  ปล.   ตามที่มีคนใช้ชื่อผม ออกบทความเผยแพร่ในโซเชียลกันใหญ่มีใจความว่า ให้

          หยุดต่อต้านทักษิณ เพราะเขาใหญ่โตจนเหลือกำลังแล้วนั้น ขอยืนยันว่าผม

          ไม่ได้เขียนนะครับ ขออนุญาตบอกกล่าวด้วย...เขาน่าจะอยู่หลังลูกสาวแล้ว

          แนะนำเงียบๆจะดีกว่า มาเหิมเกริมครอบครองนายกฯ คุยใหญ่คุยโต แสดง

          อย่างนี้บ้านเมืองจะปั่นป่วนอีก นี่เราก็ล้าหลังมา ๑๗ ปีแล้ว